Quran translations in many languages

Quran in Thai

Al-Baqarah

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี

[2:1]

อะลีฟ ลาม มีม

 

[2:2]

นี่คือคัมภีร์ (ของอัลลอฮ์) ที่ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในนั้น มันเป็นทางนำ สำหรับผู้ที่ยำเกรงต่อพระเจ้า

 

[2:3]

ผู้ที่ศรัทธาในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย และพวกเขาดำรงการนมาซ และใช้จ่าย (ในหนทางของเรา) จากสิ่งที่เรา ได้ประทานให้แก่พวกเขา

 

[2:4]

ผู้ที่ศรัทธาในคัมภีร์ ที่เราได้ส่งมาให้แก่เจ้า และในคัมภีร์ที่เราได้ส่งมา ก่อนหน้าเจ้า และเชื่อมั่นในโลกหน้า

 

[2:5]

คนเหล่านี้คือ ผู้ที่อยู่บนทางนำ จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาเหล่านี้ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ

 

[2:6]

แท้จริง สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ (สิ่งเหล่านี้) นั้นย่อมเสมอกันกับพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะตักเตือน พวกเขาหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจะไม่ศรัทธา

 

[2:7]

อัลลอฮ์ ได้ทรงปิดผนึกหัวใจของพวกเขา และหูของพวกเขา และบนดวงตาของพวกเขานั้นก็มี สิ่งปกปิดอยู่ และสำหรับคนพวกนี้ ก็คือการลงโทษอันมหันต์

 

[2:8]

และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า เราศรัทธาในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย แต่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาเลย

 

[2:9]

พวกเขา พยายามที่จะหลอกลวงอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ศรัทธา แต่พวกเขาไม่ได้หลอกลวงใคร นอกจากพวกเขาเอง และพวกเขาหาได้ตระหนักไม่

 

[2:10]

ในหัวใจของพวกเขานั้นมีโรค ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงได้เพิ่มโรคนั้นให้มากขึ้น และการลงโทษอันเจ็บปวด จะมีไว้สำหรับพวกเขา สำหรับการที่พวกเขาโกหก

 

[2:11]

เมื่อใดก็ตามที่ได้มีการบอกกับพวกเขาว่า จงอย่าสร้างความเสียหาย ขึ้นในแผ่นดิน พวกเขาจะตอบว่า แท้จริงแล้ว เราเป็นผู้ฟื้นฟูต่างหาก

 

[2:12]

จงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริง พวกเขาเป็นผู้ก่อความเสียหาย แต่พวกเขาหาได้ตระหนักไม่

 

[2:13]

และเมื่อได้มีการบอกกับพวกเขาว่า จงศรัทธาอย่างจริงใจ เหมือนกับที่ผู้คนทั้งหลายศรัทธา พวกเขาจะกล่าวว่าจะให้เราศรัทธาเหมือนกับ ผู้ที่โฉดเขลาศรัทธากระนั้นหรือ จงรู้ไว้เถิดว่า พวกเขาเองนั่นแหละที่โฉดเขลา แต่พวกเขาหารู้ไม่

 

[2:14]

และเมื่อพวกเขา ได้พบบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขากล่าวว่า เราก็เป็นผู้ศรัทธา แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพังกับบรรดาหัวโจกของพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า แท้จริง เราอยู่กับพวกท่าน เราเพียงแต่ จะเยาะเย้ยคนพวกนี้เท่านั้น

 

[2:15]

(พวกเขา หาได้ตระหนักสักนิดไม่ว่า) อัลลอฮ์กำลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่ และทรงปล่อยให้พวกเขาดื้อดึงต่อไป ในความระเหระหนอย่างมืดบอด

 

[2:16]

เหล่านี้คือ คนที่แลกเปลี่ยนความหลงผิดกับทางนำ แต่นี่เป็นการค้าที่ไม่ก่อกำไร และพวกเขา ก็ไม่ได้อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง

 

[2:17]

สภาพของพวกเขาอาจอุปมาได้ดังชายคนหนึ่งได้จุดไฟขึ้น และเมื่อมันส่องสว่างสิ่งที่รอบ ๆเขา อัลลอฮ์ก็ได้เอาแสงสว่างนั้น ออกไปจากตาของพวกเขา และปล่อยพวกเขาไว้ในความมืดทึบ ที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด

 

[2:18]

พวกเขาหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจะไม่กลับมา (ยังหนทางที่ถูกต้อง)

 

[2:19]

หรือ (สภาพของพวกเขา ยังอาจอุปมาได้) ดั่งฝนหนักที่กำลังตกมาจากฟากฟ้า ที่ตามมาด้วยความมืดทึบ ฟ้าร้องและฟ้าแลบ (เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฟ้าลั่น) พวกเขา ก็เอานิ้วมืออุดหูของพวกเขา ให้พ้นจากเสียงฟ้าผ่า เพราะหวาดกลัวความตาย (แต่พวกเขาลืมไปว่า) อัลลอฮ์ นั้นทรงล้อมพวกปฏิเสธไว้ในทุกด้าน

 

[2:20]

สายฟ้าแลบ ทำให้พวกเขาตกใจ ราวกับว่ามันจะเฉี่ยวเอาการมองเห็น ไปจากพวกเขา เมื่อใดที่พวกเขาเห็นแสง พวกเขาก็เดินคืบหน้าไป แต่เมื่อมันมืดทึบแก่พวกเขา พวกเขาก็หยุดยืน และถ้าอัลลอฮ์ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะขจัดการได้ยินของพวกเขา และการเห็นของพวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพ เหนือทุกสิ่ง

 

[2:21]

มนุษย์เอ๋ย จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้า และบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว

 

[2:22]

ผู้ทรงทำแผ่นดิน ให้เป็นพื้นสำหรับสูเจ้า และชั้นฟ้าเป็นหลังคา และทรงส่งน้ำมาจากฟากฟ้า และทรงให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เพราะเหตุนั้น เพื่อเป็นเครื่องยังชีพสำหรับสูเจ้า ดังนั้นเมื่อสูเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว ก็จงอย่าตั้งสิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์

 

[2:23]

และถ้าหากสูเจ้า ยังคงคลางแคลงสงสัย ในสิ่งที่เราได้ส่งมาแก่บ่าวของเรา ก็ขอให้สูเจ้า จงแต่งขึ้นมาสักซูเราะฮ์หนึ่ง ที่เหมือนกับสิ่งนี้ สูเจ้าอาจจะเรียกใครอื่น นอกจากอัลลอฮ์มาช่วยเหลือสูเจ้าก็ได้ ถ้าหากสูเจ้าแน่จริง (ในความสงสัยก็จงทำ)

 

[2:24]

แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำ และสูเจ้าก็ไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย ดังนั้น จงระวังไฟ ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะมีมนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง

 

[2:25]

และ (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขา คือสวนสวรรค์หลากหลาย ที่เบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน คราวใดที่พวกเขา ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า นี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน และพวกเขา จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้น และจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ สำหรับพวกเขาในนั้น และพวกเขาทั้งหลาย จะพักอยู่ในนั้นตลอดไป

 

[2:26]

บรรดาผู้ปฏิเสธกล่าวว่าอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร โดยคำเปรียบเทียบนี้ อัลลอฮ์ ทรงปล่อยให้หลายคนหลงทาง และทรงนำทางหลายคน สู่หนทางที่ถูกต้องโดยสิ่งเดียวกันนี้ แต่พระองค์ มิได้ทรงปล่อยให้ผู้ใดหลงนอกจากผู้ฝ่าฝืน

 

[2:27]

ผู้ทำลายสัญญาของอัลลอฮ์ หลังจากที่รับรองมันแล้ว และผู้ตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญชาให้สัมพันธ์ และผู้ก่อการเสียหายบนหน้าแผ่นดิน เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ขาดทุน

 

[2:28]

สูเจ้า ปฏิเสธอัลลอฮ์ได้อย่างไร ในเมื่อความจริงแล้ว สูเจ้าไม่มีชีวิตมาก่อน แล้วพระองค์ได้ทรงให้ชีวิตแก่สูเจ้า หลังจากนั้นพระองค์ จะทรงทำให้สูเจ้าตาย แล้วทำให้สูเจ้ามีชีวิตอีก แล้วสูเจ้า จะถูกนำกลับไปยังพระองค์

 

[2:29]

พระองค์ คือผู้ทรงสร้าง ทุกสิ่งที่อยู่บนโลกเพื่อสูเจ้า แล้วพระองค์ ได้ทรงหันไปยังท้องฟ้า และทรงจัดลำดับมันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง

 

[2:30]

จงรำลึกถึงเวลา ที่พระผู้อภิบาลของเจ้า ได้กล่าวกับมลาอิกะฮ์ว่า ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน บรรดามลาอิกะฮ์ทูลว่า พระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหาย และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่เรากล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ (และปฏิบัติ ตามคำบัญชาของพระองค์) และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงตอบว่า แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้

 

[2:31]

แล้วพระองค์ ได้ทรงสอนอาดัม ถึงนามของทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นพระองค์ ได้ทรงนำมันมาเสนอต่อมลาอิกะฮ์ และถามว่า จงบอกแก่ฉันซึ่งชื่อของสิ่งเหล่านี้ ถ้าสูเจ้าแน่ใจ (ในการคิดว่า การแต่งตั้งตัวแทน จะก่อให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย)

 

[2:32]

บรรดามลาอิกะฮ์ตอบว่า มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ เราไม่มีความรู้อันใด นอกจากที่พระองค์ได้ทรงสอนเรา แท้จริง พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาน

 

[2:33]

พระองค์จึงกล่าวว่า อาดัมเอ๋ย จงบอกนามของสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขา (เมื่ออาดัม ได้บอกพวกเขาถึงนามของสิ่งเหล่านั้นแล้ว) พระองค์ได้ทรงประกาศว่า ฉันมิได้บอกสูเจ้าหรือว่า ฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งเร้นลับ แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และฉันรู้ดียิ่ง ถึงสิ่งที่สูเจ้าเปิดเผย และที่สูเจ้าปิดบัง

 

[2:34]

แล้วพระองค์ได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า จงคำนับอาดัม มลาอิกะฮ์ทั้งหมดได้คำนับ นอกจากอิบลีสที่ปฏิเสธไม่ยอมทำ มันยโสโอหังและเป็นผู้ปฏิเสธ

 

[2:35]

และเราได้กล่าวว่า อาดัมเอ๋ย เจ้าและคู่ครองของเจ้า จงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ และจงกินตามความพอใจของเจ้าทั้งสอง จากสิ่งที่มีอยู่ในนั้น แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ มิเช่นนั้น เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้ละเมิด

 

[2:36]

แต่ต่อมา มารร้ายได้หลอกลวงทั้งสอง ด้วยต้นไม้นั้น (เพื่อมิให้เชื่อฟังคำบัญชาของเรา) และได้นำเขาทั้งสอง ออกจากสภาพที่เคยอยู่ และเราได้ประกาศว่า เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ เจ้าต่างเป็นศัตรูกัน และเจ้าจะมีที่พัก และปัจจัยยังชีพบนโลก ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

[2:37]

ในเวลานั้น อาดัมได้เรียนถ้อยคำที่เหมาะสมจากพระผู้อภิบาลของเขา และสำนึกผิด ดังนั้น พระองค์ จึงได้รับการสำนึกผิดของเขา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:38]

(ก่อนที่อาดัมจะออกจากสวนสวรรค์) เราได้กล่าวว่า เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ และถ้ามีทางนำจากฉันมายังเจ้า แล้วผู้ใด ปฏิบัติตามทางนำของฉัน พวกเขา ก็จะไม่มีความหวาดกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม

 

[2:39]

และผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธ และกล่าวเท็จต่ออายะฮ์ทั้งหลายของเรา พวกเขาก็คือสหายของไฟ ที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น

 

[2:40]

โอ้วงศ์วานของอิสราเอลเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปราน ที่ฉันได้ประทานให้แก่พวกสูเจ้า และจงปฏิบัติ ตามสัญญาของฉันให้ครบ ส่วนฉัน จะปฏิบัติตามสัญญาของฉันที่ทำกับพวกสูเจ้าให้ครบด้วย และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่พวกสูเจ้าต้องเกรงกลัว

 

[2:41]

และจงศรัทธา (ในกุรอาน) ที่ฉันได้ประทานลงมา เพราะมันยืนยันคัมภีร์ที่สูเจ้ามีอยู่ และจงอย่าแลกเปลี่ยน อายะฮ์ทั้งหลายของฉัน ด้วยราคาเพียงเล็กน้อย และเฉพาะฉันเท่านั้น ที่สูเจ้าจะต้องสำรวมตน

 

[2:42]

และจงอย่าเคล้าความจริง ด้วยความเท็จ และจงอย่าปิดบังความจริง ทั้งๆที่เจ้ารู้อยู่

 

[2:43]

และจงดำรงนมาซ และจ่ายซะกาต และจงโค้งคำนับต่อฉัน ร่วมกับบรรดาผู้ที่โค้งคำนับ

 

[2:44]

สูเจ้า กำชับคนอื่นให้ปฏิบัติตามคุณธรรม แต่สูเจ้า กลับลืมตัวเองกระนั้นหรือ ทั้งๆที่สูเจ้าอ่านคัมภีร์ แล้วสูเจ้ายังไม่ใช้ปัญญาอีกหรือ

 

[2:45]

และจงขอความช่วยเหลือ ด้วยความอดทนและการนมาซ แน่นอน การนมาซนั้นเป็นงานหนัก แต่ไม่ใช่กับบรรดาผู้ถ่อมตน

 

[2:46]

ผู้ที่ตระหนักว่าในที่สุด พวกเขาจะได้พบ กับพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาจะกลับไปยังพระองค์

 

[2:47]

วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย จงรำลึก ถึงความโปรดปรานของฉัน ที่ฉันได้ให้แก่สูเจ้า และจงจำไว้ว่า ฉันได้ยกย่องสูเจ้า เหนือประชาชาติทั้งหลาย

 

[2:48]

และจงสำรวมตนต่อวันหนึ่ง เมื่อชีวิต หนึ่งไม่สามารถที่จะช่วยแทน อีกชีวิตหนึ่งได้ และการขอไถ่แทนจากใคร ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ และก็จะไม่มีใครถูกไถ่แทน และคนผิด ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากใครด้วย

 

[2:49]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้ช่วยสูเจ้า ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของคนฟิรฺเอาน์ ผู้กดขี่สูเจ้า ด้วยการทรมานอันแสนสาหัส พวกเขา ฆ่าลูกชายของสูเจ้า และไว้ชีวิตลูกหญิงของสูเจ้า และในนี้ คือการทดสอบอันใหญ่หลวง สำหรับสูเจ้า จากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า

 

[2:50]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้แยกน้ำทะเล เพื่อนำทางให้สูเจ้า และให้พวกสูเจ้าผ่านทางนั้น ไปได้โดยปลอดภัย และเราได้ทำให้บริวารของฟิรฺเอาน์ จมน้ำไปต่อหน้าต่อตาของสูเจ้า

 

[2:51]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้เชิญมูซาเป็นเวลา 40 คืน หลังจากที่มูซาไม่อยู่ พวกสูเจ้าก็ได้เอาลูกวัวขึ้นบูชา ดังนั้น พวกสูเจ้าจึงเป็นผู้อธรรม

 

[2:52]

แต่ถึงกระนั้น เราก็ได้ยกโทษให้สูเจ้า หลังจากนั้นเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้ขอบคุณ

 

[2:53]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่ (สูเจ้ากำลังสร้างความอธรรม) เรา ได้ประทานคัมภีร์ และเกณฑ์ตัดสินสิ่งถูก และสิ่งผิดแก่มูซา เพื่อที่ว่าสูเจ้า จะได้อยู่ในทางนำ

 

[2:54]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าว แก่ประชาชนของเขาว่า ประชาชนของฉันเอ๋ย แท้จริง พวกท่าน ได้กระทำผิดต่อตัวพวกท่านเอง ที่ไปเอาลูกวัวมาบูชา ดังนั้น พวกท่าน ควรจะหันไปยังพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน เพื่อขอลุแก่โทษ และจงฆ่าผู้กระทำผิดในหมู่พวกท่าน นี่เป็นการดีที่สุด สำหรับพวกท่าน ในสายตาของพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน แล้วพระองค์ ได้ทรงนิรโทษสูเจ้า เพราะพระองค์ คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:55]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้าได้กล่าวว่า มูซาเอ๋ย เราจะไม่เชื่อท่าน จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮ์ (พูดกับท่าน) ด้วยตาเราเอง ทันใดนั้นเอง สายฟ้าก็ได้ฟาดลงมายังพวกสูเจ้า ในขณะที่สูเจ้ากำลังมองอยู่ จนสูเจ้าล้มสิ้นชีวิตไป

 

[2:56]

หลังจากนั้น เราก็ได้ให้สูเจ้าฟื้นขึ้นจากความตาย เพื่อที่ว่าสูเจ้า จะได้ขอบคุณ สำหรับความโปรดปรานอันนี้

 

[2:57]

(จงนึกถึงเมื่อ) เราได้ให้เมฆมายังสูเจ้า และเราได้ประทาน มันนะและซัลวา เป็นอาหารสำหรับสูเจ้า และกล่าวว่า จงกินจากสิ่งที่ดี ที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า (แต่กระนั้นก็ตาม บรรดาบรรพบุรุษของสูเจ้า ก็ยังละเมิดคำบัญชาของเรา) อย่างไรก็ตาม พวกเขามิได้อธรรมต่อเรา หากแต่พวกเขาอธรรม ต่อตัวของพวกเขาเอง

 

[2:58]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้กล่าวว่า จงเข้าไปยังเมืองนี้ และจงกินจากสิ่งที่มีอยู่ในเมือง ตามที่สูเจ้าต้องการ แต่จงเข้าประตูไปอย่างนอบน้อม และจงกล่าวคำ ฮิตเตาะตุน แล้วเราจะอภัยความผิดของสูเจ้า และเราจะเพิ่มพูนรางวัล แก่ผู้ประกอบการดี

 

[2:59]

แต่บรรดาผู้อธรรม ได้เปลี่ยนถ้อยคำที่ถูกกล่าวแก่เขา ให้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น เราจึงได้ส่งการลงโทษจากเบื้องบน มายังบรรดาผู้อธรรม ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน

 

[2:60]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซา ได้ขอน้ำดื่มเพื่อประชาชนของเขา แล้วเราได้กล่าวว่า จงเอาไม้เท้าของเจ้า ฟาดหินก้อนนั้น ซึ่งทำให้มีน้ำพุพุ่งออกมา จากมันสิบสองตา ดังนั้น ผู้คนจากทุกเผ่า จึงได้รู้ถึงแหล่งน้ำดื่มของพวกเขา (แล้วพวกเขาได้ถูกสั่งว่า) จงกิน และจงดื่ม จากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานให้ และจงอย่าเป็นผู้ก่อการเสียหายขึ้นบนหน้าแผ่นดิน

 

[2:61]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า มูซาเอ๋ย เรา ไม่สามารถทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอ ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้นำผลผลิตที่งอกเงย ออกจากพื้นดิน คือ พืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม มาให้แก่เราเหน่อย มูซาได้กล่าวตอบว่า พวกท่านต้องการเปลี่ยน เอาสิ่งที่เลวกว่า แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น จงไปอยู่ในเมือง และพวกท่าน จะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการที่นั่น หลังจากนั้น พวกเขาตกต่ำ จนต้องถูกความอัปยศ และความขัดสนฟาดกระหน่ำ และได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ นั่นเป็นเพราะ เขาปฏิเสธอายะฮ์ทั้งหลายของอัลลอฮ์ และฆ่านบีบางคน โดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาละเมิด

 

[2:62]

จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม

 

[2:63]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้า และเราได้ยกตูรฺขึ้นเหนือสูเจ้า และกล่าวว่า จงยึดมั่น ต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้า และจงรำลึกถึง (หลักธรรมคำสอน) ที่อยู่ในนั้น เพื่อที่สูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว

 

[2:64]

แต่แม้หลังจากนั้น สูเจ้าจะละทิ้งสัญญาก็ตาม หากมิใช่ความโปรดปราน และความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อสูเจ้าแล้ว สูเจ้า จะต้องอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน

 

[2:65]

และพวกสูเจ้า ก็รู้ดีถึงเรื่องราวของผู้คนในหมู่สูเจ้า ที่ละเมิดวันเสาร์ เรา จึงได้กล่าวแก่พวกเขาเหล่านั้นว่า จงเป็นลิงที่ถูกรังเกียจ

 

[2:66]

ดังนั้น เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา เป็นการเตือนแก่บรรดาผู้คนในเวลานั้น และแก่คนรุ่นหลัง และเป็นข้อตักเตือน สำหรับผู้ที่สำรวมตนจากความชั่ว

 

[2:67]

และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าวแก่คนของเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงบัญชาพวกท่าน ให้เชือดวัวตัวหนึ่ง พวกเขาตอบว่า ท่านกำลังล้อเล่นกับเราใช่ไหม มูซาตอบว่า ฉัน ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ ให้พ้นจากการประพฤติเยี่ยงผู้โง่เขลา

 

[2:68]

แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า จงขอพระผู้อภิบาลของท่าน ให้บอกรายละเอียดให้กระจ่างด้วย ว่ามันเป็นอย่างไร มูซาได้กล่าวว่า พระองค์ตรัสว่า เป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่ และไม่อ่อน แต่เป็นวัววัยปานกลาง ดังนั้น จงทำตามที่ท่านถูกบัญชาเถิด

 

[2:69]

พวกเขาได้ถามต่อไปอีกว่า จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้บอกถึงสีของวัว ให้เป็นที่กระจ่างแก่เราด้วย มูซาได้ตอบว่า พระองค์ตรัสว่า วัวตัวนั้น ควรจะมีสีเหลืองเข้มสดใส เป็นที่ต้องใจแก่ผู้พบเห็น

 

[2:70]

พวกเขายังกล่าวอีกว่า จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้กำหนดชนิดของวัวที่ต้องการ ให้แก่เรา เพราะวัวนั้น มีลักษณะคล้ายกันโดยทั่วไป แล้วเรา จะได้หามันพบ ถ้าหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์

 

[2:71]

มูซากล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า วัวตัวนั้นเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถ ให้ไถดิน และไม่เคยถูกใช้ให้ทดน้ำเข้านา เป็นวัวที่สมบูรณ์ ปราศจากตำหนิตามตัว แล้วพวกเขาก็ร้องออกมาว่า ท่านได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงได้เชือดวัวตัวนั้นพลี โดยที่พวกเขาไม่เต็มใจ

 

[2:72]

และจงนึก เมื่อตอนที่สูเจ้าฆ่าชายคนหนึ่ง และสูเจ้าก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้ แต่อัลลอฮ์ก็ได้นำเรื่อง ที่สูเจ้าปิดบังออกมาเปิดเผย

 

[2:73]

ดังนั้น เราจึงได้บัญชาว่า จงฟาดศพของคนที่ถูกฆ่า ด้วยส่วนหนึ่งของวัวที่ถูกเชือดพลี จงดูว่าอัลลอฮ์ ทรงทำให้คนตาย กลับฟื้นมีชีวิตได้อย่างไร และพระองค์ ได้ทรงแสดงสัญญาณให้เห็น เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้เข้าใจ

 

[2:74]

แต่ถึงแม้จะได้เห็นสัญญาณเหล่านี้แล้วก็ตาม หัวใจของสูเจ้าก็ยังกระด้างเป็นหินหรือยิ่งกว่าหินเสียอีก อย่างไรก็ตาม ในบรรดาหินนั้นก็มีบางก้อนที่มีสายน้ำพุ่งออกมาจากมัน และมีบางก้อนที่แตกออกและมีน้ำไหลออกมา แล้วก็มีบางก้อนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮ์ และอัลลอฮ์มิทรงเฉยเมยในสิ่งที่สูเจ้ากระทำ

 

[2:75]

(โอ้มุสลิมทั้งหลาย) แล้วสูเจ้ายังจะหวังว่าคนเหล่านี้จะยอมรับคำเชิญชวนของสูเจ้าและเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ ในขณะที่ในหมู่พวกเขามีบางคนที่ได้ยินถ้อยคำของอัลลอฮ์แล้วเข้าใจ มันดีแต่กลับไปบิดเบือนมันเสียทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดี

 

[2:76]

และเมื่อพวกเขาพบบรรดาผู้ที่ศรัทธา พวกเขากล่าวว่า เราก็ศรัทธาด้วย แต่เมื่อพวกเขาอยู่กับคนอื่นตามลำพัง พวกเขากล่าวว่า พวกท่านไม่คิดหรือว่าที่พวกท่านไปบอกเล่าถึงสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่ท่านนั้นจะเป็นสิ่งที่พวกเขานำมันมาเป็นข้อพิสูจน์ต่อท่านต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกท่าน

 

[2:77]

พวกเขาไม่รู้จริง ๆ หรือว่าอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบัง และที่พวกเขาเปิดเผย

 

[2:78]

และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้อ่านเขียนไม่เป็น ไม่รู้คัมภีร์ นอกจากจะอาศัยเรื่องไร้สาระต่าง ๆ และตามการนึกเดาไปเท่านั้นเอง

 

[2:79]

ดังนั้น ความวิบัติจงมีแด่ผู้เขียนคัมภีร์ด้วยมือของพวกเขาแล้วกล่าวว่า นี่มาจากอัลลอฮ์ ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนราคาเล็กน้อยบางอย่าง (พวกเขาไม่เห็นว่า) สิ่งที่เขียนด้วยมือของพวกเขาจะนำความวิบัติมายังพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นก็นำพวกเขาไปสู่ความหายนะ

 

[2:80]

และพวกเขากล่าวว่า ไฟนรกจะไม่สัมผัสเรา และถ้าหากมันจะสัมผัสเรา มันก็จะเป็นเพียงสองสามวันเท่านั้น จงกล่าวเถิด พวกท่านได้รับสัญญาจากอัลลอฮ์ที่พระองค์จะไม่ทรงบิดพลิ้วกระนั้นหรือ หรือพวกท่านกล่าวร้ายต่ออัลลอฮ์ ในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้

 

[2:81]

ทำไมไฟนรกจะไม่สัมผัสพวกท่าน ใครก็ตามที่ขวนขวายการชั่วและหมกมุ่นอยู่กับการบาป เขาเหล่านั้นก็คือสหายของไฟนรก และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น

 

[2:82]

ส่วนบรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดี จะเป็นผู้ที่ได้อยู่ในสวรรค์ และพำนักอยู่ที่นั่นตลอดไป

 

[2:83]

และจงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับวงศ์วานของอิสรออีลว่า จงอย่าเคารพภักดีผู้ใดเว้นแต่อัลลอฮ์ จงทำดีต่อบิดามารดา ต่อญาติสนิท เด็กกำพร้า ผู้ขัดสน และจงสนทนากับผู้คนโดยดี จงดำรงนมาซและจ่ายซะกาต แต่พวกสูเจ้าได้หันหลังกลับให้มัน และไม่ใส่ใจมันยกเว้นส่วนน้อย จากหมู่สูเจ้าเท่านั้น

 

[2:84]

จงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้าว่า สูเจ้าต้องไม่หลั่งเลือดพวกของสูเจ้าและต้องไม่ขับไล่พวกของสูเจ้าออกจากบ้านของสูเจ้า และสูเจ้าก็ได้รับรองและสูเจ้าก็เป็นพยานอยู่ด้วย

 

[2:85]

แต่หลังจากนั้น ทั้ง ๆ ที่มีสัญญาแล้ว สูเจ้าก็ยังฆ่าพวกพ้องของสูเจ้าและขับไล่พวกของสูเจ้าเองออกจากบ้านของสูเจ้า และหนุนหลังพวกเขาในการบาปและการเป็นศัตรู และเมื่อพวกเขามาหาสูเจ้าในฐานะเชลย สูเจ้าก็ไถ่พวกเขาทั้ง ๆ ที่การขับไล่พวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสูเจ้า แล้วสูเจ้าศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์ และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ ดังนั้น ไม่มีการตอบแทนอันใดแก่ผู้กระทำเช่นนั้นนอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้ และในวันฟื้นขึ้น พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง และอัลลอฮ์ มิใช่ผู้ทรงเฉยเมยต่อที่สูเจ้ากระทำ

 

[2:86]

เหล่านี้คือคนที่ซื้อชีวิตของโลกนี้แทนโลกหน้า ดังนั้น การลงโทษพวกเขาจะไม่ถูกลดหย่อน และพวกเขาจะไม่ถูกช่วยเหลือ

 

[2:87]

และเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซาและหลังจากเขาแล้ว เราได้ให้มีรอซูลสืบต่อเนื่องกันมา และเราได้ส่งอีซาลูกของมัรยัมมาพร้อมกับหลักฐานอันชัดแจ้งและเราได้สนับเขาด้วยด้วยวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วมันเป็นอย่างไรที่ทุกครั้งเมื่อมีรอซูลคนใดมายังสูเจ้าพร้อมกับสิ่งที่จิตใจของสูเจ้าไม่ชอบ สูเจ้าก็กระด้างกระเดื่องต่อเขา กล่าวเท็จต่อเขาและฆ่าเขา

 

[2:88]

และพวกเขากล่าวว่า หัวใจของพวกเรามั่นคงปลอดภัย แต่ความจริงก็คือ อัลลอฮ์ได้ประณามสาปแช่งพวกเขา เพราะการที่พวกเขาปฏิเสธ ดังนั้น พวกเขาจึงมีน้อยนักที่ศรัทธา

 

[2:89]

แล้วตอนนี้พวกเขาปฏิบัติต่อคัมภีร์จากอัลลอฮ์ที่ได้มายังพวกเขาอย่างไร ถึงแม้ว่ามันจะยืนยันคัมภีร์ที่พวกเขามีอยู่แล้ว ถึงแม้ก่อนที่มันจะมา พวกเขาเคยวิงวอนขอชัยชนะต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังปฏิเสธมันถึงแม้ว่าพวกเขารู้ ดังนั้น การสาปแช่งจากอัลลอฮ์จึงมีแก่พวกปฏิเสธ

 

[2:90]

ช่างชั่วช้าแท้ ๆ ที่พวกเขาหลอกลวงตัวของพวกเขาเอง พวกเขาปฏิเสธทางนำที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเพียงเพราะพวกเขาริษยาว่าทำไมอัลลอฮ์ถึงได้ประทานความโปรดปรานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้น พวกเขาจึงได้ก่อให้เกิดความกริ้วแล้วกริ้วอีก และสำหรับพวกปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันแสนสาหัส

 

[2:91]

และเมื่อได้มีกล่าวแก่พวกเขาว่า จงศรัทธาตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา พวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาแต่เฉพาะในสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่เรา และพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นทั้ง ๆ ที่มันเป็นสัจธรรมและยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ดังนั้น จงถามพวกเขาว่า ถ้าหากพวกท่านศรัทธาอย่างจริงใจ ทำไมพวกท่านถึงได้ฆ่านบีของอัลลอฮ์ (ที่ถูกส่งมายังพวกท่าน จากในหมู่ของพวกท่านเอง)

 

[2:92]

(ยิ่งไปกว่านั้น) มูซาก็ได้มายังสูเจ้าพร้อมกับสัญญาณต่าง ๆ อันชัดแจ้ง แต่เมื่อเขาไปจากสูเจ้าได้ไม่เท่าไหร่ สูเจ้าก็เป็นผู้ละเมิดเอาลูกวัวมาบูชา

 

[2:93]

และจงนึกถึงสัญญาที่เราได้ทำกับสูเจ้าในขณะที่เราได้ยกภูเขาฏูรเหนือสูเจ้า เราได้สั่งว่า จงยึดมั่นในสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้าและจงฟังคำบัญชาของเรา พวกเขากล่าวว่า เราได้ยินแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟัง พวกเขาฝักใฝ่ไปในทางปฏิเสธจนในหัวใจของพวกเขานั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยลูกวัว จงบอกพวกเขาเถิด (มุฮัมมัด) ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาจริง ศรัทธาของพวกท่านก็เป็นศรัทธา ที่บัญชาพวกท่านให้ทำสิ่งชั่วช้าเช่นนั้น

 

[2:94]

จงบอกพวกเขาว่า ถ้าหากที่พำนักแห่งปรโลก ที่อัลลอฮ์ได้ถูกสำรองไว้สำหรับพวกท่าน เป็นการเฉพาะ และมิใช่สำหรับมนุษย์อื่นแล้ว พวกท่านก็เรียกหาความตายเถิด ถ้าหากพวกท่านจริงใจ ต่อสิ่งที่พวกท่านกล่าวอ้าง

 

[2:95]

แต่ (จงเชื่อเถิดว่า) พวกเขาไม่อยากทำเช่นนั้นหรอก เพราะ (พวกเขารู้ดีถึงผลของ) สิ่งที่พวกเขาได้ส่งไปก่อนหน้านั้นแล้ว และอัลลอฮ์ ทรงรู้ดีถึงความคิดของพวกอธรรม

 

[2:96]

เจ้าจะได้พบว่า ในบรรดามนุษยชาติทั้งหมด พวกเขา เป็นผู้ที่โลภเพื่อชีวิตมากที่สุดไม่ พวกเขา โลภยิ่งกว่าพวกบูชารูปปั้นเสียอีก พวกเขาแต่ละคนอยากที่จะมีอายุยืนถึงพันปี แต่นี่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกลงโทษได้ แม้จะมีอายุยืนก็ตาม และอัลลอฮ์ ทรงเห็นทุกอย่างที่พวกเขากระทำ

 

[2:97]

จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ใครก็ตามที่เป็นศัตรูต่อญิบรีล ควรจะเข้าใจว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮ์ เขาได้นำกุรอานมายังหัวใจของเจ้า เป็นที่ยืนยันสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาก่อนหน้ามัน และเป็นทางนำ และข่าวดีสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา

 

[2:98]

(ถ้าหากความเป็นศัตรูของพวกเขาต่อญิบรีลมีสาเหตุมาจากสิ่งนี้ ก็ขอให้พวกเขาเข้าใจว่า) ผู้ใดเป็นศัตรูต่ออัลลอฮ์ มลาอิกะฮ์และรอซูลของพระองค์ ญิบรีลและมีกาล ดังนั้น อัลลอฮ์ ทรงเป็นศัตรูต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ

 

[2:99]

เราได้ประทานอายะฮ์ทั้งหลายอันชัดแจ้ง มายังเจ้าแล้ว และไม่มีผู้ใดปฏิเสธมัน นอกจากพวกฝ่าฝืน

 

[2:100]

และทุกครั้งที่พวกเขาได้ทำสัญญา พวกเขากลุ่มหนึ่งมิใช่หรือที่ได้ทิ้งสัญญา มิใช่เช่นนั้น พวกเขาส่วนมากต่างหากที่ไม่ศรัทธา

 

[2:101]

และเมื่อใดก็ตามที่รอซูลจากอัลลอฮ์มายังพวกเขา เป็นผู้ยืนยันคัมภีร์ที่มีอยู่กับพวกเขา ชาวคัมภีร์กลุ่มหนึ่งก็จะโยนคัมภีร์ของอัลลอฮ์ไว้ข้างหลัง ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้อะไร

 

[2:102]

และ (แทนที่จะปฏิบัติตามกุรอาน) พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติตาม (วิทยากล) ที่พวกวายร้ายได้อ้างอย่างผิด ๆ ว่ามันมาจาก (ความยิ่งใหญ่แห่ง) อาณาจักรสุลัยมาน ทั้งที่ความจริงแล้ว สุลัยมานมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธ แต่พวกมารร้ายที่พร่ำสอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างหากที่ปฏิเสธ พวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกส่งมายังฮารูตและมารูต มลาอิกะฮ์สองคนที่บาบิล (บาบิโลน) เมื่อใดก็ตามที่มลาอิกะฮ์ทั้งสองได้สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด เขาทั้งสองจะเตือนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจนว่า เราเป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น พวกท่านจงอย่าปฏิเสธ แต่ถึงแม้จะเตือนแล้ว คนเหล่านั้นก็ได้เรียนจากมลาอิกะฮ์ทั้งสองซึ่งวิชาที่เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างสามี และคู่ครองของเขา ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยใช้ไสยศาสตร์ได้หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮ์ แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่พวกเขาและไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้ใดที่ซื้อวิชานี้จะไม่มีส่วนใดในปรโลกสำหรับเขาเลย ช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาไป เพื่อมัน ถ้าหากว่าพวกเขารู้

 

[2:103]

ถ้าหากพวกเขาศรัทธาในอัลลอฮ์ และสำรวมตนจากความชั่ว พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่ดีกว่าจากอัลลอฮ์ ถ้าหากว่าพวกเขาได้รู้

 

[2:104]

บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า รออินา แต่จงกล่าวว่า อุนซุรนา และจงฟังสิ่งที่ได้ถูกกล่าวไป สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวด

 

[2:105]

บรรดาผู้ปฏิเสธสารแห่งสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นชาวคัมภีร์ หรือพวกบูชาเทวรูป ไม่ปรารถนาที่จะเห็นความดีใด ๆ จากพระผู้อภิบาลของสูเจ้าถูกส่งมายังสูเจ้าทั้ง ๆ ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกที่จะประทานความเมตตาของพระองค์ ให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยเฉพาะ และอัลลอฮ์ คือเจ้าแห่งความโปรดปรานอันใหญ่หลวง

 

[2:106]

อายะฮ์ใด ที่เราได้ยกเลิกหรือถูกทำให้ลืมเลือน เราก็ได้นำที่ดีกว่าหรืออย่างน้อยที่สุดก็เท่าเทียมกันมาทดแทน สูเจ้าไม่รู้หรือว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

 

[2:107]

สูเจ้าไม่รู้หรือว่าอำนาจแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮ์ และสูเจ้าไม่มีผู้ใดเป็นผู้คุ้มครอง และผู้ช่วยเหลือนอกจากอัลลอฮ์

 

[2:108]

หรือสูเจ้าอยากจะถามรอซูลของสูเจ้าดังที่มูซาได้ถูกถามแต่ก่อนนี้ และผู้ใดที่เอาการปฏิเสธมาแลกการศรัทธา เขาผู้นั้นก็หลงไปจากทางที่เที่ยงตรง

 

[2:109]

ส่วนมากของชาวคัมภีร์ ต้องการที่จะหันสูเจ้ากลับมายังการปฏิเสธ หลังจากการศรัทธาของสูเจ้า ทั้งนี้เนื่องด้วยความอิจฉาของพวกเขา หลังจากที่สัจธรรมได้เป็นที่แจ่มแจ้ง แก่พวกเขาแล้ว ดังนั้น สูเจ้าจงแสดงความอดทนและให้อภัยแก่พวกเขาจนกว่าอัลลอฮ์จะได้มีพระบัญชาลงมา (ดังนั้นขอให้แน่ใจได้ว่า) อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

 

[2:110]

และจงดำรงนมาซและจ่ายซะกาต และความดีอันใดที่สูเจ้าได้ประกอบไว้ก่อนสำหรับตัวสูเจ้า สูเจ้าก็จะพบมันที่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่สูเจ้ากระทำ

 

[2:111]

พวกเขากล่าวว่า ไม่มีใครที่จะได้เข้าสวรรค์ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นยิวหรือคริสเตียน นี่คือความหวังอันเลื่อนลอยของพวกเขา จงกล่าวกับพวกเขาเถิดว่า จงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง

 

[2:112]

ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ใครก็ตามที่ยอมมอบตนต่ออัลลอฮ์ และเป็นผู้กระทำการดี เขาก็จะได้รับการตอบแทนจากพระผู้อภิบาลของเขา และจะไม่มีความกลัว และความระทมสำหรับพวกเขา

 

[2:113]

และพวกยิวกล่าวว่าพวกคริสเตียนไม่มีสิ่งใด (แห่งสัจธรรม) และพวกคริสเตียนก็กล่าวว่าพวกยิวก็ไม่มีสิ่งใด ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็อ่านคัมภีร์เล่มเดียวกันนั้น และพวกที่ไม่มีความรู้เรื่องคัมภีร์ก็ยังกล่าวอ้างเช่นเดียวกันนั้น ดังนั้น อัลลอฮ์จะตัดสินเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ

 

[2:114]

และผู้ใดเล่าที่อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ห้ามการเข้าไปในมัสญิดทั้งหลายของอัลลอฮ์เพื่อกล่าวรำลึกถึงพระนามของพระองค์ภายในนั้นและพยายามที่จะทำลายมัน คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะเข้าไปในนั้นเว้นแต่พวกเขาจะเข้าไปด้วยความยำเกรง สำหรับพวกเขาในโลกนี้คือความอัปยศอดสู และการลงโทษอันมหันต์ในปรโลก

 

[2:115]

ทั้งตะวันออก และตะวันตกเป็นของอัลลอฮ์ สูเจ้าจะพบอัลลอฮ์ ในทุกทิศทาง ที่สูเจ้าผินหน้าของสูเจ้าไป แท้จริงอัลลอฮ์ คือผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้

 

[2:116]

และพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮ์ ได้เอามนุษย์มาเป็นบุตร มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ ผู้ทรงอยู่เหนือสิ่งเช่นนั้น ความจริงแล้ว อะไรก็ตาม ที่อยู่ในชั้นฟ้า และแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์ และทุกสรรพสิ่ง ล้วนภักดีต่อพระองค์

 

[2:117]

พระองค์ คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน เมื่อพระองค์ ทรงกำหนดกิจการใด พระองค์เพียงแต่กล่าวแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา

 

[2:118]

และบรรดา (พวกมุชริกีน) ผู้ไม่รู้อะไรเลยได้กล่าวว่า หากอัลลอฮ์ ไม่เจรจากับเรา (โดยตรง) หรือไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ มาสู่พวกเรา (เราก็ไม่ขอเชื่อถืออย่างแน่นอน)

 

[2:119]

เราได้ส่งเจ้า (มุฮัมมัด) พร้อมด้วยสัจธรรม และได้ทำให้เจ้าเป็นผู้แจ้งข่าวดี และเป็นผู้ตักเตือน และเจ้า จะไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อบรรดาชาวนรก

 

[2:120]

และชาวยิวและชาวคริสต์นั้น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริง คำแนะนำของอัลลอฮ์ เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้า แล้ว ก็ย่ามไม่มีผุ้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใดๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้

 

[2:121]

บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขาโดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์อย่างจริงๆ ชนเหล่านี้แหละคือ ผู้ที่ศรัทธาต่อคคัมภีร์นั้นไซร้ แน่นอนชนเหล่านี้คือผู้ที่ขาดทุน

 

[2:122]

วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย! จงรำลึกถึงความกรุณาของข้า ที่ข้าได้กรุณาต่อพวกเจ้า และแท้จริง ข้าได้เทิดพวกเจ้าเหนือประชาชาติ ทั้งหลาย

 

[2:123]

และจงเกรงกลัววันหนึ่งซึ่งในวันนั้นไม่มีใครสามารถที่จะช่วยใครได้แต่อย่างใด และการไถ่โทษแทนจากใครก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ การขอไถ่แทนก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร และผู้ที่ทำผิดทั้งหลายจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ

 

[2:124]

จงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเขาได้ทรงทดสอบอิบรอฮีมในบางสิ่ง แล้วเขาได้ปฏิบัติโดยครบถ้วน พระองค์ทรงตรัสว่า ฉันจะทำให้เจ้าเป็นผู้นำของมนุษยชาติ เขาได้ถามว่า สัญญานี้รวมถึงลูกหลานของฉันด้วยหรือ พระองค์ตรัสว่า สัญญาของฉันไม่แผ่ถึงพวกอธรรม

 

[2:125]

และจงรำลึกถึงขณะที่เรา ได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับมนุษย์ และเป็นที่ปลอดภัยและพวกเจ้าจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีม เป็นที่ละหมาดเภิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีม และ อิสมาอีลว่า เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของข้า เพื่อบรรดาผู้ทำการเฏาะวาป และบรรดาผู้ทำการ เอียติกาฟ และบรรดาผู้ที่ทำรุกัวะและสุยูด

 

[2:126]

และจงรำลึกถึงยณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงให้ที่นี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพ แก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือ ผุ้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขา พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง

 

[2:127]

และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น (ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า) ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของ พวกข้าพระองค์โปรดรับ (งาน) จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยิน และทรงรอบรู้

 

[2:128]

พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดทำให้เราทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์และได้ทรงโปรดให้ลูกหลานของเราเป็นชนชาติที่นอบน้อมต่อพระองค์ ขอได้ทรงแสดงให้เราเห็นถึงการปฏิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงโปรดนิรโทษแก่เราโดยปรานี แน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:129]

พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดให้ในหมู่พวกเขามีรอซูลขึ้นมาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่จะมาสาธยายอายะฮ์ทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขา และสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา และขัดเกลาชีวิตของพวกเขาให้สะอาด แน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ

 

[2:130]

แล้วใครเล่าที่จะหันเหออกไปจากแนวทางของอิบรอฮีมนอกจากผู้ที่โฉดเขลาต่อตัวเขาเอง แน่นอน อิบรอฮีมคือผู้ที่เราได้เลือกมาเพื่อรับใช้เราในโลกนี้ และแท้จริง ในปรโลก เขาจะอยู่ในหมู่กัลยาณชน

 

[2:131]

จงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงสวามิภักดิ์เถิด เขากล่าวว่า ข้าพระองค์ได้สวามิภักดิ์แด่พระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว

 

[2:132]

ในทำนองเดียวกัน อิบรอฮีมได้สั่งลูก ๆ ของเขาให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน ยะอ์กู๊บก็ได้สั่งบรรดาลูก ๆ ของเขาเช่นกันว่า ลูก ๆ ของฉันเอ๋ย อัลลอฮ์ได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเจ้าแล้ว ดังนั้น จงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย

 

[2:133]

หรือว่าพวกเจ้าอยู่ด้วย เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายยะอ์กูบ ขณะที่เขากล่าว แก่ลูกๆ ของเขาว่า พวกเจ้าจะเคารพสักการะอะไร หลังจากฉันพวกเขากล่าวว่า พวกเราจะเคารพสักการะพระเจ้าของทาน และพระเจ้าแห่งบรรดาบิดาของท่าน คือ อิบรอฮีม อิสมาอีล และ อิสหาก แต่เพียงองค์เดียว และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ ต่อพระองค์เท่านั้น

 

[2:134]

นั้นคือ หมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้ ก็ย่อมได้แก่พวกเขา และสิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายไว้ก็ย่อมได้แก่พวกเจ้า และ พวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ

 

[2:135]

และพวกเขากล่าวว่า พวกท่านจงเป็นยิวเถิด หรือ เป็นคริสต์เถิด พวกท่านก็จะได้รับคำแนะนำอันถูกต้อง จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) หาใช่เช่นนั้นไม่ แนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริงต่างหาก และเขาไม่เคยเป็นผุ้สักการะเจว็ด

 

[2:136]

จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า เราศรัทธาในอัลลอฮ์และทางนำที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เรา และที่ได้ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสหาก ยะอ์กู๊บและลูกหลานของเขา และที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา อีซา และที่ได้ถูกประทานมาแก่นบีทั้งหลายจากพระผู้อภิบาลของเขาทั้งหลาย เรามิได้จำแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์

 

[2:137]

แล้วหากพวกเขาศรัทธาอย่างที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับ ข้อแนะนำที่ถูกต้อง และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮ์ก็จะทางให้เจ้าพอเพียงแก่พวกเขา และพระองค์นั้นเป็นผุ้ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้

 

[2:138]

การย้อมของอัลลอฮ์ และใครเล่าจะย้อมดียิ่งไปกว่า อัลลอฮ์ และพวกเรา จะเป็นผู้เคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์

 

[2:139]

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกท่าน จะโต้แย้งกับเราในเรื่องของอัลลอฮ์กระนั้นหรือทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และ พระเจ้าของพวกท่าน และบรรดาการงานของเรา ก็ย่อมเป็นของเรา และบรรดาการงานของพวกท่าน ก็เป็นของพวกท่าน และพวกเรานั้น จะเป็นผู้มอบการอิบาดะฮ์ทั้งหลายให้แก่พระองค์เท่านั้น

 

[2:140]

หรือว่าพวกท่านจะกล่าวว่า แท้จริง อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอ์กูบ และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น เป็นยิว หรือเป็นคริสต์ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านรู้ดี ยิ่งกว่าอัลลอฮ์กระนั้นหรือ หรือ อัลลอฮ แล้วผู้ใด จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ปิดบังหลักฐานจากอัลลอฮ์ ซึ่งมาอยู่ที่เขา และ อัลลอฮ์นั้น จะไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่

 

[2:141]

นั่นคือ กลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวน ถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นปฏิบัติกัน

 

PART 2

 

[2:142]

บรรดาผู้โฉดเขลา ในหมู่มนุษย์นั้นจะกล่าวว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาหันออกไปจากกิบลัตของพวกเขาที่พวกเขาเคยผินไป จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก นั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง

 

[2:143]

และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซู้ล ก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า ใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซู้ล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท่าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่า อัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไป ก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา แก่มนุษย์เสมอ

 

[2:144]

แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราจะให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลหะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผุ้ที่ได้รับคัมภีร์ นั้นย่อมรู้ดีว่า มัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และ อัลลอฮ์นั้น ไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

 

[2:145]

และแน่นอน ถ้าหากเจ้า ได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดง แก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า และเจ้าก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัติของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้า หากเจ้าได้ปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว แน่นอนทันใดนั้น เจ้าก็อยู่ในหมู่ ผู้อธรรม

 

[2:146]

บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขา ดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ ของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริงไว้ ทั้งๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่

 

[2:147]

ความจริงนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า ของเจ้า ดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด

 

[2:148]

และทุกคนต่างมีทิศทางที่จะหันไปสู่การนมาซ ดังนั้น จงแข่งขันซึ่งกันและกันในความดี ไม่ว่าสูเจ้าจะอยู่ไหน อัลลอฮ์จะทรงนำสูเจ้ามารวมกัน แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

 

[2:149]

ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอม เพราะนี่เป็นคำสั่งจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และอัลลอฮ์ไม่ทรงเป็นผู้เฉยเมยในสิ่งที่เจ้ากระทำ

 

[2:150]

และจากที่ใดก็ตามที่เจ้าออกไป ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัลมัสยิดิ้ลหะรอม และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปทางนั้น เพื่อว่าจะได้ไม่เป็นข้ออ้างใดๆ แก่หมู่ชนที่แย้งพวกเจ้าได้ นอกจากบรรดาผู้อธรรมในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวข้าเถิด และเพื่อที่ข้าจะได้ให้ความกรุณาของข้าครบถ้วน แก่พวกเจ้า และเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง

 

[2:151]

ดังที่เราได้ส่งร่อซู้ลผู้หนึ่ง จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้ เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน

 

[2:152]

ดังนั้นพวกเราจงรำลึกถึงข้าเถิด ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้า และจงขอบคุณข้าเถิด และจงอย่าเนรคุณต่อข้าเลย

 

[2:153]

บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงขอความช่วยเหลือด้วยความอดทนและจงนมาซ เพราะอัลลอฮ์จะทรงอยู่กับบรรดาผู้ที่อดทน

 

[2:154]

และจงอย่ากล่าวว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮ์ว่า พวกเขาตาย ความจริงแล้ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่สูเจ้าหาได้ตระหนักถึงชีวิตนั้นไม่

 

[2:155]

และแน่นอน เราจะทดสอบสูเจ้าโดยการให้สูเจ้าอยู่ในความกลัวและความหิว และโดยการให้สูญเสียทรัพย์สิน ชีวิตและพืชผล และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อดทน

 

[2:156]

คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเรา เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์

 

[2:157]

ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับคำชมเชย แบะการเอ็นดูเมตตาจากพระเจ้าของพวกเขา และชนเหล่านี้แหละคือผุ้ที่ได้รับข้อแนะนำอันถูกต้อง

 

[2:158]

แท้จริงภูเขา เศาะฟา และภูเขามัรวะฮ์นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาเครื่องหมายของอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดประกอบพิธีฮัจญ์ หรือ อุมเราะฮ์ ณ บัยตุลลอฮก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทีจะเดินวนเวียนไปมา ณ ภูเขาทั้งสองนั้น และผู้ใดประกอบความดีโดยสมัครใจแล้ว แน่นอนอัลลอฮ์นั้น คือผู้ทรงขอบใจ และผู้ทรงรอบรู้

 

[2:159]

แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังหลักฐานอันชัดเจน และข้อแนะนำอันถูกต้องที่เราได้ให้ลงมา หลังจากที่เราได้ชี้แจงมันไว้แล้วในคัมภีร์สำหรับมนุษย์นั้น ชนเหล่านี้แหละ อัลลอฮ์จะทรงขับไล่พวกเขาให้พ้นจากความเมตตาของพระองค์ และผู้สาปแช่งทั้งหลายก็จะสาปแช่งพวกเขาด้วย

 

[2:160]

นอกจากผู้ที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว และปรับปรุงแก้ไข และขี้แจงสิ่งที่ปกปิดไว้ ชนเหล่านี้ ข้าจะอภัยโทษให้แก่พวกเขา และข้าคือผู้อภัยโทษ และเมตตาเสมอ

 

[2:161]

แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และได้สิ้นชีพลง ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธ ศรัทธาอยู่นั้น ชนเหล่านี้จะได้รับการขับไล่ให้พ้นจากความเมตตาของอัลลอฮ์ และจะได้รับการสาปแช่ง จากมลาอิกะฮ์ และมนุษย์ทั้งมวล

 

[2:162]

พวกเขาจะอยู่ในการขับไล่ให้พ้นจากความเมตตาของอัลลอฮ์ และการสาปแช่งจากมลาอิกะฮ์ และมนุษย์ตลอดกาล โดยที่การลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนปรนแก่ตัวเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่ถูกรั้งรอในการลงโทษ

 

[2:163]

และพระเจ้าของสูเจ้านั้นคืออัลลอฮ์องค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:164]

แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน และเรือที่วิ่งอยู่ในทะเลพร้อมด้วยสิ่งที่อำนวยประโยชน์ แก่มนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้นด้วย น้ำนั้น หลังจากที่มันตายไปแล้ว และได้ทรงให้สัตว์ แต่ละชนิด แพร่สะพัดไปในแผ่นดิน และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ (แก่โลก) ผันแปรไประหว่างฟากฟ้า และแผ่นดินนั้น แน่นอน ล้วนเป็นสัญญาณนานาประการ แก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา

 

[2:165]

และในหมุ่มนุษย์นั้น มีผุ้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจาออัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้น เป็นผู้ที่รักอัลลอฮมากยิ่งกว่า และหากบรรดาผู้อธรรมจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น (แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า) แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง

 

[2:166]

(และ) ขณะที่บรรดาผุ้ถูกตาม ได้ปลีกตัวออกจากบรรดาผุ้ตาม และขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษ และขณะที่บรรดาสัมพันธภาพที่มีต่อกันได้ขาดสบั้นลง

 

[2:167]

และบรรดาผู้ที่ตามได้กล่าวว่า หากว่าเรามีโอกาสกลับไปอีกครั้งหนึ่ง เราก็จะปลีกตัวออกจากพวกเขาบ้าง เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ปลีกตัวออกจากพวกเรา ในทำนองเดียวนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาเห็นงานต่างๆ ของพวกเขาเป็นที่น่าเสียใจแก่พวกเขา และทั้งพวกเขาจะไม่ได้ออกจากไฟนรกด้วย

 

[2:168]

มนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางของมารเพราะมารเป็นศัตรูที่เปิดเผยของสูเจ้า

 

[2:169]

ที่จริง มันเพียงแต่จะใช้พวกเจ้าให้ประกอบสิ่งชั่ว และสิ่งลามกเท่านั้น และจะใช้พวกเจ้ากล่าวความเท็จ ให้แก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้

 

[2:170]

และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า จงปฏิบัติตามคำบัญชาที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา พวกเขาตอบว่า เราจะปฏิบัติตามเฉพาะที่เราพบว่าบรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติ ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ใช้สติปัญญาและไม่ได้อยู่ในทางนำที่ถูกต้องกระนั้นหรือ

 

[2:171]

และอุปมาบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น ดังผู้ที่ส่งเสียงตวาดสิ่ง ที่มันฟังไม่รู้เรื่อง นอกจาก เสียงเรียกและเสียงตะโกนเท่านั้น พวกเขาคือคน หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอดดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าใจ

 

[2:172]

บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงกินสิ่งที่ดีและสะอาดที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า และจงขอบคุณต่ออัลลอฮ์ถ้าหากพระองค์เท่านั้นที่สูเจ้าเคารพภักดี

 

[2:173]

อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามสูเจ้าเฉพาะสิ่งเหล่านี้ สัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกกล่าวอุทิศให้นามอื่นนอกไปจากอัลลอฮ์ แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขันโดยไม่มีเจตนาขัดขืนและไม่ได้ละเมิด มันก็ไม่มีบาปแก่เขาเพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:174]

แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมา และนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่าน้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องเขาพวกเขา นอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้ พวกเขาบริสุทธิ์ แลพวกเขาจะได้รับการ ลงโทษอันเจ็บแสบ

 

[2:175]

ชนเหล่านี้ คือผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูก ต้องไป แลกเปลี่ยนกับแนวทางที่หลงผิดและเอาการ อภัยโทษไปแลกเปลี่ยนกับการลงโทษ พวกเขา ช่างทนต่อไฟนรกเสียนี่กระไร

 

[2:176]

นั้นก็เพราะว่า อัลลอฮ์ได้ทรงประทาน คัมภีร์ลงมาพร้อมด้วยสัจธรรม และแท้จริงบรรดา ผู้ที่ขัดแย้งกันในคัมภีร์นั้น ย่อมอยู่ในการแตกแยก ที่ห่างไกล

 

[2:177]

หาใช่คุณธรรมไม่ การที่พวกเจ้าผินหน้า ของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออก และทิศตะวันตก แต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และ วันปรโลก และศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์ ต่อบรรดา คัมภีร์ และนบีทั้งหลาย และบริจาคทรัพย์ ทั้งๆ ที่มีความรักในทรัพย์นั้น แก่บรรดาญาติที่สนิท และบรรดาเด็กกำพร้า และแก่บรรดาผู้ยากจน และผู้ที่อยู่ในการเดินทาง และบรรดาผู้ที่มาขา และบริจาคในการไถ่ทาส และเขาได้ดำรงไว้ซึ่ง การละหมาด และการชำระซะกาต และ (คุณธรรม นั้น) คือบรรดาผู้ที่รักษาสัญญาของพวกเขาโดย ครบถ้วน เมื่อพวกเขาได้สัญญาไว้ และบรรดาผู้ที่ อดทนในความทุกข็ยาก และในความเดือดร้อน และขณะต่อสู้ในสมรภูมิ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ พูดจริง และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรง

 

[2:178]

ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การประหารฆาตกร ให้ตายตามในกรณีที่มีผู้ถูกฆ่าตายนั้นได้ถูกกำหนด แก่พวกเจ้าแล้ว คือชายอิสระต่อชายอิสระ และ ทาสต่อทาส และหญิงต่อหญิง แล้วผู้ใดที่สิ่งหนี่ง จากพี่น้องของเขาถูกอภัยให้แก่เขาแล้ว ก็ให้ปฏิบัติ ไปตามนั้นโดยชอบ และให้ชำระแก่เขาโดยดี นั้นคือ การผ่อนปรนจากพระเจ้าของพวกเจ้า และคือ การเอ็นดูเมตตาด้วย แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น เขาก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

 

[2:179]

และในการประหารฆาตกรให้ตายตาม นั้น คือการธำรงไว้ซึ่งชีวิตสำหรับพวกเจ้า โอ้ผู้ มีสติปัญญาทั้งหลาย! เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง

 

[2:180]

การทำพินัยกรรมให้แก่ผู้บังเกิดเกล้า ทั้งสอง และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดโดยชอบธรรมนั้น ได้ถูกกำหนดขึ้นแก่พวกเจ้าแล้ว เมื่อความตายได้ มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้า หากเขาได้ทั้งทรัพย์ สมบัติไว้ ทั้งนี้เป็นหน้าที่แก่ผู้ยำเกรงทั้งหลาย

 

[2:181]

แล้วผู้ใดเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม หลัง จากที่เขาได้ยินมันแล้ว โทษแห่งการเปลี่ยนแปลง พินัยกรรมนั้น ก็ตกอยู่แก่บรรดาผู้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮ์ทรงได้ยิน ทรงรอบรู้

 

[2:182]

แล้วผู้ใดเกรงว่าผู้ทำพินัยกรรมมีความไม่เป็นธรรม (โดยไม่รู้) หรือกระทำความผิด (โดยเจตนา) แล้ว แล้วเขาได้ประนีประนอมในระหว่าง พวกเขา ก็ไม่มีโทษใดๆ แก่เขา แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:183]

บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอด นั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเจ้ามาแล้ว เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง

 

[2:184]

(คือถูกกำหนดให้ถือ) ในบรรดาวันที่ถูก นับไว้ แล้วผู้ใดในพวกเจ้าป่วยหรืออยู่ในการเดิน ทางก็ให้ถือใช้ในวันอื่น และหน้าที่ของบรรดาผู้ที่ ถือศีลอดด้วยความลำบากยิ่าง (โดยที่เขาได้งดเว้น การถือ) นั้น คือการชดเชยอันได้แก่การให้อาหาร (มื้อหนึ่ง) แก่คนมิสกีนคนหนึ่ง (ต่อการงดเว้น จากการถือหนึ่งวัน) แต่ผู้ใดกระทำความดีโดยสมัครใจ มันก็เป็นความดีแก่เขา และการที่พวกเจ้าจะ ถือศีลอดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้

 

[2:185]

เดือนรอมฏอนนั้น เป็นเดือนที่ อัลกุรอาน ได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับ มนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อ แนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่าง ความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้า เข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วย หรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือใช้ในวันอื่นแทน อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวก แก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ให้ครบถ้วน ซึ่งจำนวนวัน (ของเดือนรอมฏอน) และเพื่อพวกเจ้าจะได้ให้ความ เกรียงไกรแด่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ ทรงแนะนำแก่พวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะขอบคุณ

 

[2:186]

และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้า แล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงข้านั้นอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้า ดังนั้น พวกเขาจงตอบรับข้าเถิด และศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง

 

[2:187]

ได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งการสมสู่กับบรรดาภรรยาของพวกเจ้า ในค่ำคืนของการถือศีลอด นางทั้งหลายนั้นคือเครื่องนุ่มห่มของพวกเจ้า และพวกเจ้าก็คือเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง อัลลอฮ์ทรงรู้ว่า พวกเจ้านั้นเคยทุจริตต่อตัวเอง แล้วพระองค์ก็ทรงยกโทษให้แก่พวกเจ้า และอภัยให้แก่พวกเจ้าแล้ว บัดนี้พวกเจ้าจงสมสู่กับพวกนางได้ และแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงกำหนดให้แก่พวกเจ้าเถิด และจงกิน และดื่ม จนกระทั่งเส้นขาว จะประจักษ์แก่พวกเจ้าจากเส้นดำ เนื่องจากแสงรุ่งอรุณ แล้วพวกเจ้าจงให้การถือศีลอดครบเต็ม จนถึงพลบค่ำ และพวกเจ้าจงอย่าสมสู่กับพวกนาง ขณะที่พวกเจ้าเอียะติก๊าฟอยู่ในมัศยิด นั่นคือบรรดาขอบเขตของอัลลอฮ์ ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้ขอบเขตนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการ ของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง

 

[2:188]

และจงอย่าแย่งชิงทรัพย์สินกันและกันโดยวิธีการที่มิชอบธรรม และจงอย่าเสนอให้แก่ผู้พิพากษาเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้กลืนกินสมบัติส่วนหนึ่งของคนอื่นโดยไม่เป็นธรรมทั้ง ๆ ที่สูเจ้ารู้ดีอยู่

 

[2:189]

เขาเหล่านั้นจะถามเจ้า เกี่ยวกับเดือน แรกขึ้น จงกล่าวเถิด มันคือกำหนดเวลาต่างๆ สำหรับมนุษย์ และสำหรับประกอบพิธีฮัจญ์ และหาใช่เป็นคุณธรรมไม่ ในการที่พวกเจ้าเข้าบ้าน ทางหลังบ้าน แต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ยำเกรง ต่างหาก และพวกเจ้าจงเข้าบ้านทางประตูบ้าน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้า จะได้รับความสำเร็จ

 

[2:190]

และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่ารุกราน แท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน

 

[2:191]

และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใด ก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขา ออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และ การก่อความวุ่นวายนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิลหะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย พวก เจ้าในที่นั้น หากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้วก็จง ประหัตประหารพวกเขา เสีย เช่นนั้นแหละคือการ ตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา

 

[2:192]

แล้วถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอน อัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:193]

และจงต่อสู้พวกเขาต่อไปจนกว่าจะไม่มีการกดขี่ข่มเหงและแนวทางของอัลลฮ์ได้ถูกสถาปนาขึ้นมาแทน ดังนั้น ถ้าพวกเขาหยุดยั้งก็จงอย่าให้มีการเป็นปรปักษ์ต่อไป เว้นแต่กับผู้ที่กดขี่ข่มเหงและโหดเหี้ยม

 

[2:194]

เดือนที่ต้องห้ามนั้น ก็ด้วยเดือนที่ต้อง ห้าม และบรรดาสิ่งจำเป็นต้องเคารพนั้น ก็ย่อม มีการตอบโต้เยี่ยงเดียวกัน ดังนั้นผู้ใดละเมิดต่อพวก เจ้า ก็จงละเมิดต่อเขา เยี่ยงที่เขาละเมิดต่อพวก เจ้า และพึงยำเหรงอัลลอฮ์เถิด และจงรู้ไว้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรงทั้ง หลาย

 

[2:195]

จงใช้จ่ายทรัพย์สินของสูเจ้าในหนทางของอัลลอฮ์ และจงอย่าโยนตัวของสูเจ้าเองลงไปสู่ความพินาศด้วยมือของเจ้าเอง จงทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องดี เพราะอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ทำสิ่งดี

 

[2:196]

และพวกเจ้าจงให้สมบูรณ์ ซึ่งการทำ ฮัจญ์ และการทำอุมเราะฮ์เพื่ออัลลอฮ์เถิด แล้ว ถ้าพวกเจ้าถูกสกัดกั้น ก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ ง่าย และจงอย่าโกนศีรษะของพวกเจ้าจนกว่า สัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้วผู้ใดในหมู่พวก เจ้าป่วยลง หรือที่เขามีสิ่งก่อความเดือดร้อนจาก ศีรษะของเขา ก็ให้มีการชดเชย อันได้แก่การถือศีลอด หรือการทำทานหรือการเชือดสัตว์ ครั้น เมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ผู้ใดที่แสวงหาประโยชน์ จนกระทั่งถึงฮัจญ์ด้วยการทำอุมเราะฮ์แล้ว ก็ให้ เชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่าย ผู้ใดที่หาไม่ได้ ก็ให้ถือ ศิลอดสามวันในหระหว่างการทำฮัจญ์ และอีกเจ็ด วันเมื่อพวกเจ้ากลับบ้าน นั้นคือครบสิบวัน ดังกล่าว นั้น สำหรับผู้ที่ครอบครัวของเขามิได้ประจำอยู่ที่ อัล-มัสยิดิลหะรอม และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์ เถิด และถึงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผุ้ทรง ลงโทษที่รุนแรง

 

[2:197]

(เวลา) การทำฮัจญ์นั้นมีหลายเดือนอัน เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ได้ให้การทำ ฮัจญ์จำเป็นแก่เขาในเดือนเหล่านั้น แล้ว ก็ต้อง ไม่มีการสมสู่ และไม่มีการละเมิด และไม่มีการวิวาท ใดๆ ใน (เวลา) การทำฮัจญ์ และความดีใดๆ ที่ พวกเจ้ากระทำนั้น อัลลอฮ์ทรงรู้ดี และพวกเจ้า จงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้น คือความยำเกรง และพวกเจ้าจงยำเกรงข้าเถิด โอ้ ผู้มีปัญญาทั้งหลาย!

 

[2:198]

ไม่มีโทษใดๆ แก่พวกเจ้า การที่พวก เจ้าจะแสวงหาความกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใดจาก พระเจ้าของพวกเจ้า ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้หลั่งไหล กันออกจากอะเราะฟาตแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึง อัลลอฮ์ ณ อัล-มัชอะริลหะรอม และจงกล่าว รำลึกถึงพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ทรงแนะนำ พวกเจ้าไว้ และแท้จริงก่อนหน้านั้น พวกเจ้าอยู่ใน หมู่ผู้ที่หลงทาง

 

[2:199]

แล้วพวกเจ้าจงหลั่งไหลกันออกไปจาก ที่ที่ผู้คนได้หลั่งไหลกันออกไป และจงขออภัย ต่ออัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผุ้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:200]

ครั้นเมื่อพวกเจ้าประกอบพิธีฮัจญ์ของ พวกเจ้าเสร็จแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ ดังที่ พวกเจ้ากล่าวรำลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเจ้า หรือ กล่าวรำลึกให้มากยิ่งกว่า ในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าว ว่า โอ้พระเจ้าของเรา โปรดประทานให้แก่พวกเรา ในโลกนี้เถิด และเขาจะไม่ได้รับส่วนดีใดๆ ใน ปรโลก

 

[2:201]

และในหมู่พวกเขานั้น มีผู้ที่กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา โปรดประทานให้แก่พวกเรา ซึ่ง สิ่งดีงามในโลกนี้ และสิ่งดีงามในปรโลก และโปรด คุ้มครองพวกเราให้พ้นจากลงโทษแห่งไฟนรก ด้วยเถิด

 

[2:202]

ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาจะได้รับส่วนดี จากสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน

 

[2:203]

และพวกเจ้าจงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ ในบรรดาวันที่ถูกนับไว้ แล้วผู้ใดรีบกลับในสองวัน ก็ไม่มีโทษใดๆ แก่เขา และผู้ใดรั้งรอไปอีก ก็ไม่มีโทษใดๆแก่เขา (ทั้งนี้) สำหรับผู้ที่ มีความยำเกรง และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงรู้ด้วยว่า พวกเจ้านั้นจะถูกนำไปชุมนุมยัง พระองค์

 

[2:204]

และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่คำพูดของเขา ทำให้เจ้าพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ และเขาจะอ้างอัลลอฮ์เป็นพยาน ซึ่งสิ่งที่อยู่ใน หัวใจของเขา และขณะเดียวกันก็เป็นผู้โต้เถียงที่ ฉกาจฉกรรจ์ยิ่ง

 

[2:205]

และเมื่อเขาให้หลังไปแล้ว เขาก็เพียร พยายามในแผ่นดิน เพื่อก่อความเสียหายในนั้น และทำลายพืชผล และเผ่าพันธุ์ และอัลลอฮ์นั้น ไม่ทรงชอบการก่อความเสียหาย

 

[2:206]

และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า จงเกรงกลัวอัลลอฮ์ ความผยองก็เกาะกุมเขาและชักนำให้เขาทำบาป สำหรับคนพวกนี้ นรกคือที่ ๆ เหมาะสมสำหรับพวกเขา และมันเป็นที่พำนักอันแสนชั่วร้าย

 

[2:207]

และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้ที่ขายตัวของ เขา ทั้งนี้เพื่อแสวงหาความพอพระทัยของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงปรานีแก่ปวงบ่าวทั้งหลาย

 

[2:208]

บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเข้าสู่อิสลามโดยสมบูรณ์ และจงอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร เพราะมันเป็นศัตรูที่เด่นชัดของสูเจ้า

 

[2:209]

ถ้าหากสูเจ้าถลำตัวไปทำความชั่วหลังจากได้รับคำสอนอันชัดแจ้งที่มายังสูเจ้าแล้ว จงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ

 

[2:210]

และพวกเขามิได้คอยอะไร นอกจากการที่อัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ จะมายังพวกเขา ในร่มเงาจากเมฆ และเรื่องนั้นได้ถูกชี้ขาดไว้แล้ว และยังอัลลอฮ์นั้นเรื่องราวทั้งหลายจะถูก นำกลับไป

 

[2:211]

เจ้าจงถามวงศ์วานอิสรออีลดูเถิดว่า สัญญานอันชัดเจนกี่มากน้อยแล้ว ที่เราได้นำมายังพวกเขา และผู้ใดเปลี่ยนแปลงความกรุณาของอัลลอฮ์ หลังจากที่มันได้มายังเขาแล้ว แน่นอน อัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง

 

[2:212]

ชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นได้ถูก ประดับให้สวยงามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย และพวกเขายังเย้ยหยันบรรดาผู้ที่ศรัทธาด้วย แต่ บรรดาผู้ยำเกรงนั้น เหนือกว่าพวกเขาในวันกิยามะฮ์ และอัลลอฮ์จะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่ พระองค์ทรงประสงค์ โดยปราศจากการคำนวณนับ

 

[2:213]

มนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกัน ภายหลังอัลลอฮ์ได้ส่งบรรดานบีมาในฐานะผู้แจ้ง ข่าวดี และผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์ อันกอปรไปด้วยความจริงลงมากับพวกเขาด้วยเพื่อ ว่าคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างมนุษย์ในสิ่งที่พวก เขาขัดแย้งกัน และไม่มีใครที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากบรรดาผู้ที่รับคัมภีร์นั้นมา หลังจากที่ บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขา แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงแนะนำแก่บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่ง ความจริงที่พวกเขาขัดแยังกันด้วยอนุมัติของพระ องค์ และอัลลอฮ์นั้นทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง

 

[2:214]

หรือพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ โดยที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้า ยังมิได้มายังพวกเจ้าเลย ซึ่งบรรดาความลำบาก และความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขา และ พวกเขาได้รับความหวั่นไหว จนกระทั่งรอซูลและ บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งอยู่กับเขา กล่าวขึ้นว่า เมื่อไร เล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ฦ พึงรู้เถิดว่า แท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ใกล้อยู่แล้ว

 

[2:215]

ผู้คนทั้งหลายถามว่า อะไรที่เราควรจะใช้จ่าย จงบอกพวกเขาว่า อะไรก็ตามที่สูเจ้าใช้จ่าย จงใช้จ่ายมันสำหรับพ่อแม่และญาติสนิท เด็กกำพร้า ผู้ขัดสนและคนเดินทาง และความดีอันใดที่สูเจ้าได้กระทำไป อัลลอฮ์ทรงรู้ดี

 

[2:216]

สูเจ้าได้ถูกบัญชาให้ออกสู่สงครามและสูเจ้ารังเกียจมัน แต่มันอาจเป็นว่าสูเจ้ารังเกียจสิ่งหนึ่งซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งดีสำหรับสูเจ้า และบางทีสูเจ้ารักสิ่งหนึ่งซึ่งสิ่งนั้นมันเลวสำหรับสูเจ้า อัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ แต่สูเจ้าไม่รู้

 

[2:217]

พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนต้องห้าม ซึ่งการสู้รบในเดือนนั้น จงกล่าวเถิดว่า การสู้รบ ในเดือนนั้นเป็นสิ่งใหญ่โต และการขัดขวางให้ออก จากทางของอัลลอฮ์ และการปฏิเสธการศรัทธา ต่อพระองค์ และการกีดกัน อัลมัสยิดิ้ลหะรอม ตลอดจนการขับไล่ขาว อัลมัสยิดิ้ลหะรอมออกไปนั้น เป็นสิ่งใหญ่โตยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮ์ และการฟิตนะฮ์ นั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า และพวกเขาจะยังคงต่อสู้พวกเจ้าต่อไป จนกว่าพวกเขาจะทำให้ พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของพวกเจ้า หากพวกเขาสามารถ และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลง ขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละ บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และ ปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขา จะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล

 

[2:218]

แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ที่อพยพ และได้เสียสละต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์นั้น ชนเหล่านี้แหละ ที่หวังในความเมตตาของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:219]

พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับน้ำเมา และการพนัน จงกล่าวเถิดว่า ในทั้งสองนั้นมีโทษมาก และมีคุณหลายอย่างแก่มนุษย์ แต่โทษของมันทั้งสองนั้น มากกว่าคุณของมัน และพวกเขาจะถามเจ้าว่า พวกเขาจะบริจาคสิ่งใดจงกล่าวเถิดว่า สิ่งที่เหลือจากการใช้จ่าย ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงโองการทั้งหลายแก่พวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ

 

[2:220]

ทั้งในโลกนี้และปรโลก และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับบรรดาเด็กกำพร้า จงกล่าวเถิดว่า การแก้ไขปรับปรุงใดๆ ให้แก่พวกเขานั้น เป็นสิ่งดียิ่ง และถ้าหากพวกเจ้าจะร่วมอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็คือ พี่น้องของพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้น ทรงรู้ดีถึงผู้ที่ก่อความเสียหาย จากผู้ที่ปรับปรุงแก้ไข และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนก็ทรง ให้พวกเจ้าลำบากไปแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาน

 

[2:221]

และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงมุชริก จนกว่านางจะศรัทธา และทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธานั้น ดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นมุชริก แม้ว่านาง ได้ทำให้พกเจ้าพึงใจก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าให้แต่งงาน กับบรรดาชายมุชริก จนกว่าพวกเขาจะศรัทธา และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดีกว่า ชายมุชริก และแม้ว่าเขาได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่ไฟนรก และอัลลอฮ์ นั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์ แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึกกันได้

 

[2:222]

และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับประจำเดือน จงกล่าวเถิดว่า มันเป็นสิ่งให้โทษ ดังนั้นพวกเจ้า จงห่างไกลหญิง ในขณะมีประจำเดือน และจงอย่าเข้าใกล้นาง จนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนาง ได้ชำระร่างกายสะอาดแล้ว ก็จงมาหานาง ตามที่อัลลอฮ์ทรงใช้พวกท่าน แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงชอบบรรดาผู้สำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัว และทรงชอบ บรรดาผู้ที่ทำตนให้สะอาด

 

[2:223]

บรรดาหญิงของพวกเจ้านั้น คือแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้า จงมายังแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้า ตามแต่พวกเจ้าประสงค์ และจงประกอบล่วงหน้า ไว้สำหรับตัวของพวกเจ้า และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงรู้ด้วยว่า แท้จริง พวกเจ้านั้น จะเป็นผู้พบกับพระองค์ และเจ้า จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเถิด

 

[2:224]

จงอย่าใช้พระนามของอัลลอฮ์มาสาบานในสิ่งที่ขัดขวางสูเจ้าจากคุณธรรม การสำรวมตน และสวัสดิการของมนุษยชาติ แท้จริง อัลลอฮ์ทรงได้ยินและทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

 

[2:225]

อัลลอฮ์จะไม่ให้สูเจ้ารับผิดชอบต่อคำสาบานที่ไร้สาระและไม่ได้เจตนาของสูเจ้า แต่พระองค์จะถือเอาคำสาบานที่สูเจ้าทำขึ้นโดยมีเจตนา แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงขันติ

 

[2:226]

สำหรับบรรดาผู้ที่สาบานว่า จะไม่สมสู่ภรรยาของเขานั้น ให้มีการรอคอยไว้สี่เดือน แล้วถ้าหากเขากลับคืนดี แน่นอนอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

 

[2:227]

และถ้าพวกเขาปลงใจ ซึ่งการหย่าแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้

 

[2:228]

และบรรดาหญิงที่ถูกหย่าร้าง พวกนาง จะต้องรอคอยต้วของตนเองสามกุรูอฺ และไม่อนุมัติให้แก่พวกนาง ในการที่พวกนาง จะปกปิดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้บังเกิดขึ้น ในมดลูกของพวกนาง หากพวกนางศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และบรรดาสามีของพวกนางนั้นเป็นผู้มีสิทธิกว่า ในการให้พวกนางกลับมาในกรณีดังกล่าว หากพวกเขาปรารถนาประนีประนอม และพวกนางนั้นจะได้รับ เช่นเดียวกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกนาง จะต้องปฏิบัติโดยชอบธรรม และสำหรับบรรดาชายนั้น มีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาน

 

[2:229]

การหย่านั้นมีสองครั้ง แล้วให้มีการยับยั้งไว้โดยชอบธรรม หรือไม่ก็ให้ปล่อยไป พร้อมด้วยการทำความดี และไม่อนุญาติแก่พวกเจ้า ในการที่พวกเจ้า จะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง (มะฮัร) นอกจากทั้งสองเกรงว่า จะไม่สามารถดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์ได้เท่านั้น ถ้าหากพวกเจ้าเกรงว่าเขาทั้งสองจะไม่ดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์แล้วไซร้ ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทั้งสองในสิ่งที่นางใช้มันไถ่ตัวนาง เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮ์ พวกเจ้าจงอย่าละเมิดมัน และผู้ใดละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์แล้ว ชนเหล่านั้นแหละ คือผู้ที่อธรรมแก่ตัวเอง

 

[2:230]

ถ้าหากเขาได้หย่านางอีก นางก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขา หลังจากนั้น จนกว่าจะแต่งงานกับสามีอื่นจากเขา แล้วหากสามีนั้นหย่านาง ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่ทั้งสอง ที่จะคืนดีกันใหม่ หากเขาทั้งสองคิดว่า จะดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์ได้ และนั่นแหละ คือขอบเขตของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงแจกแจงมัน อย่างแจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ดี

 

[2:231]

และเมื่อพวกเจ้าหย่าบรรดาหญิง แล้วพวกนางถึงกำหนดเวลา ของพวกนางแล้ว ก็จงยับยั้งนางไว้ โดยชอบธรรม หรือ ไม่ก็จงปล่อยนางไปโดยชอบธรรม และพวกเจ้า จงอย่ายับยั้งพวกนางไว้โดยมุ่งก่อความเดือดร้อน เพื่อพวกเจ้าจะได้ข่มเหงรังแก และผู้ใดกระทำเช่นนั้น แน่นอนเขาก็ข่มเหงตนเอง และจงอย่าถือเอาโองการของอัลลอฮ์ เป็นที่เย้ยหยัน และพึงระลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ ที่มีแก่พวกเจ้า และสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้า อันได้แก่คัมภีร์ และบทบัญญัติ (ที่มีอยู่ในคัมภีร์นั้น) ซึ่งพระองค์จะทรงใช้คัมภีร์นั้น แนะนำตักเตือนพวกเจ้า และพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง

 

[2:232]

และเมื่อพวกเจ้าหย่าบรรดาหญิง แล้วนางเหล่านั้น ได้ถึงกำหนดเวลของพวกนางแล้ว ก็จงอย่าขัดขวางพวกนาง ในการที่พวกนาง จะแต่งกับบรรดาคู่ครองของพวกนาง เมื่อพวกเขาต่างพอใจกันระหว่างพวกเขา โดยชอบธรรม นั่นแหละคือ สิ่งที่จะถูกนำมาแนะนำตักเตือน แก่ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก นั่นแหละคือ สิ่งที่บริสุทธิ์กว่า และสะอาดกว่า สำหรับพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ แต่พวกเจ้าไม่รู้

 

[2:233]

และมารดาทั้งหลายนั้น จะให้นมแก่ลูกๆ ของนางภายในสองปีเต็ม สำหรับผู้ที่ต้องการ จะให้ครบถ้วนในการให้นม และหน้าที่ของพ่อเด็กนั้น คือปัจจัยยังชีพของพวกนางและเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง โดยชอบธรรม ไม่มีชีวิตใดจะถูกบังคับนอกจากเท่าทีชีวิตนั้น มีกำลังความสามารถเท่านั้น มารดาก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน (ให้แก่สามี) เนื่องด้วยลูกของนาง และพ่อเด็ก ก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน (ให้แก่ภรรยา) เนื่องด้วยลูกของเขา และหน้าที่ของทายาทผู้รับมรดกก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าทั้งสองต้องการหย่านม อันเกิดจากความพอใจ และการปรึกษาหารือกันจากทั้งสองคน แล้วก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทั้งสอง และหากพวกเจ้าประสงค์ ที่จะให้มี แม่นมขึ้นแก่ลูกๆ ของพวกเจ้าแล้ว ก็ย่อมไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้มอบสิ่งที่พวกเจ้าให้ (แก่นางเป็นค่าตอบแทน) โดยชอบธรรม และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และถึงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ

 

[2:234]

และบรรดาผู้ที่ถึงแก่ชีวิตลงในหมู่พวกเจ้า และทิ้งคู่ครองไว้นั้น พวกนางจะต้องรอคอยตัวของพวกนางเอง สี่เดือนกับสิบวัน ครั้นเมื่อพวกนาง ครบกำหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกนางได้กระทำไปในส่วนตัวของพวกนาง โดยชอบธรรม และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียด ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

 

[2:235]

และไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวเป็นในการขอหญิง และสิ่งที่พวกเจ้าเก็บงำ ไว้ในใจของพวกเจ้า อัลลอฮ์ทรงรู้ว่า พวกเจ้าจะบอกกล่าวแก่นางให้ทราบ แต่ทว่าพวก เจ้าอย่าได้สัญญาแก่นางเป็นการลับ นอกจากพวกเจ้าจะกล่าวถ้อยคำอันดีเท่านั้น และจงอย่าปลงใจ ซึ่งการทำพิธีแต่งงาน จนกว่าเวลาที่ถูกกำหนดไว้ จะบรรลุถึงความสิ้นสุดของมัน และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเจ้า พวกเจ้าจงสังวรณ์พระองค์ไว้เถิด และพึงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงหนักแน่น

 

[2:236]

ไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าหย่าหญิง โดยที่พวกเจ้ายังมิได้แตะต้องพวกนาง หรือยังมิได้กำหนดมะฮัรใดๆ แก่พวกนาง และจงให้นางได้รับสิ่งที่อำนวยประโยชน์ แก่พวกนาง โดยที่หน้าที่ของผู้มั่งมีนั้น คือตามกำลังความสามารถของเขา และหน้าที่ของผู้ยากจนนั้นคือตามกำลังความสามารถของเขา เป็นการให้ประโยชน์โดยชอบธรรม เป็นสิทธิเหนือผู้กระทำดีทั้งหลาย

 

[2:237]

และถ้าหากพวกเจ้าหย่าพวกนาง ก่อนที่พวกเจ้าจะแตะต้องพวกนาง โดยที่พวกเจ้าได้กำหนดมะฮัรแก่นางแล้ว ก็จงให้แก่นางครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกเจ้ากำหนดไว้ นอกจากว่าพวกนางจะยกให้ หรือผู้ที่ตกลงแต่งงานอยู่ในมือของเขา จะยกให้และการที่พวกเจ้าจะยกให้นั้น เป็นสิ่งที่ใกล้แก่ความยำเกรงมากกว่า และพวกเจ้าอย่าลืมการทำคุณในระหว่างพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นใน สิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

 

[2:238]

จงระวังการนมาซของสูเจ้า โดยเฉพาะการนมาซที่มีคุณสมบัติอันประเสริฐของการนมาซ และจงยืนต่อหน้าอัลลอฮ์ดังบ่าวที่นอบน้อมด้วยความภักดี

 

[2:239]

ถึงแม้สูเจ้าจะอยู่ในอันตราย สูเจ้าก็จะต้องนมาซ ไม่ว่าจะเป็นบนทางเท้าหรือบนหลังสัตว์พาหนะ และเมื่อสูเจ้าปลอดภัย ดังนั้น จงรำลึกถึงอัลลอฮ์ดังที่พระองค์ได้ทรงสอนสูเจ้าในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้มาก่อน

 

[2:240]

และบรรดาผู้ที่ (จวนจะ) ตายจากพวกเจ้า และต้องทิ้งบรรดาคู่ครองไว้ (ในสภาพหญิงหม้าย) ก็ต้องสั่งเสียไว้ เพื่อบรรดาคู่ครองของพวกเขา ซึ่งสิ่งอำนวยสุขคือ (เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นค่าเลี้ยงดูแก่พวกนาง) ให้ครบหนึ่งปี โดยนางมิได้ออก (จากบ้านไปอื่น) แต่ถ้าพวกนางออก (จากบ้าน) โดยไม่มีความจำเป็น นางก็หมดสิทธิ์ที่จะได้รับค่าเลี้ยงดูดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่เป็นบาปแก่พวกเจ้า ในกรณีที่นางได้กระทำลงไปในเรื่องของตัวนางเอง จาก (การกระทำที่ประกอบไปด้วย) คุณธรรม (ตามบทบัญญัติทางศาสนา) และอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชายิ่ง

 

[2:241]

และเป็นสิทธิแก่บรรดาหญิงที่ถูกหย่า (นางจะต้องได้) สิ่งอำนวยสุข (เป็นค่าเลี้ยงดูแก่นาง) โดยคุณธรรมเป็นหน้าที่แก่บรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย (ต้องจัดการไปตามนั้น)

 

[2:242]

เช่นนั้นแหละ ที่อัลลอฮ์ทรงแจ้งบรรดาโองการของพระองค์ แก่พวกเจ้าทั้งมวลเพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้ปัญญาตริตรอง

 

[2:243]

เจ้าไม่รู้ดอกหรือถึง (ประวัติของ) บรรดาผู้ที่ออกจากบ้านเมือง โดยมีจำนวนนับเป็นพันคน เพราะความกลัวตาย แต่แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงตรัสแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงตายเถิด ครั้นต่อมาพระองค์ก็ชุบชีวิตพวกเขา (ขึ้นมาใหม่) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงไว้ซึ้งความโปรดปรานแก่มวลมนุษย์ แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากหาได้ขอบคุณพระองค์ไม่

 

[2:244]

สูเจ้าจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้

 

[2:245]

ใครบ้างในหมู่สูเจ้าที่จะให้การยืมที่ดีแก่อัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์จะทรงใช้คืนให้เขาหลังจากที่ได้ทรงเพิ่มมันขึ้นเป็นทวีคูณแล้ว อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงสามารถลดและเพิ่ม (ความมั่งคั่ง) และยังพระองค์ที่สูเจ้าจะคืนกลับไป

 

[2:246]

เจ้าไม่รู้หรือ (ถึงประวัติของ) มวลชนหนึ่งจากพวกพงศ์เผ่าของอีสรออีล ภายหลังจากมูซา (ได้จากโลกนี้ไปแล้ว) เมื่อพวกเขาได้กล่าวกับศาสดาองค์หนึ่งของพวกเขา (ซึ่งมีชื่อว่าซำวีล (ว่า ท่านได้โปรดแต่งตั้งกษัตริย์แก่พวกเราสิ เราจะได้ออกต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ศาสดาจึงกล่าวกับพวกเขาว่าพวกท่านทั้งหลายคาดคิดไหมว่า หากพวกท่านได้ถูกบัญญัติให้ทำการรบแล้ว พวกท่านจะไม่ออกต่อสู้ พวกเขาตอบว่า และไม่มีเหตุผลใดๆสำหรับพวกเราเลย ที่จะไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ทั้งๆที่พวกเราถูกคับไล่ออกมาจากบ้านเมืองของเรา และลูกๆของเรา ครั้นแล้วเมื่อการรบได้ถูกบัญญัติแก่พวกเขา พวกเขาก็หันหลังให้ ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเท่านั้นเอง (ที่ออกทำการรบ) และอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้ยิ่งกับบรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งมวล

 

[2:247]

และศาสดาแห่งพวกเขาก็ได้ประกาศแก่พวกเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงแต่งตั้ง ฏอลูตให้เป็นกษัตริย์ พวกเขาก็กล่าวว่า ไฉนเล่าจึงให้เขามาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเรา ทั้งๆที่ความเป็นจริงพวกเราทรงสิทธิ์ในตำแหน่งกษัตริย์ยิ่งกว่าเขาเสียอีกและเขา (ฏอลูต) นั่นก็ไม่มีทรัพย์อันมั่งคั่งแต่ประการใดๆ (แล้วจะมาเป็นกษัตริย์พวกเราได้อย่างไร) เขา (ศาสดาซำวีล) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงคัดเลือกตัวเขา (ฏอลูต) ให้เป็นกษัตริย์ของพวกเจ้า และพระองค์ทรงเพิ่มพูลความรู้ และ (พลังแห่ง) เรือนร่างอันกว้างขวางแก่เขา และอัลลอฮ์ทรงประทานอำนาจแห่งอาณาจักรของพระองค์แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์ทรงไพศาลยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

 

[2:248]

และศาสดาของพวกเขาได้กล่าวกับพวกเขาว่า แท้จริงสัญลักษณ์ แสดงอำนาจทางอาณาจักรของเขาก็คือ จะมีหีบมายังพวกท่านซึ่งในนั้น มีความสงบมั่นจากองค์อภิบาลแห่งพวกท่าน และมีส่วนที่เหลืออยู่จากที่วงศ์วานแห่งมูซา และวงศ์วานแห่งฮารูนได้ทิ้งไว้ ซึ่งมาลาอีกะห์แบกมันมาเอง แท้จริงในนั้น ย่อมเป็นสัญลักษณ์แด่พวกเจ้าทั้งมวล ทั้งนี้หากพวกเจ้าเป็นผู้มีความศรัทธา

 

[2:249]

ต่อมาเมื่อฏอลูตได้นำไพล่พลเคลื่อนออกไป (จากไบติลมักดิส) เขาก็ประกาศว่า แท้จริงอัลลอฮ์ จะทรงทดสอบพวกท่านทั้งหลาย ด้วยลำน้ำสายหนึ่ง ซึ่งผู้ใดดื่มจากมัน เขาก็หาใช่พวกของฉันไม่ แต่ผู้ใดไม่ดื่มมัน เขาก็เป็นพวกของฉัน ยกเว้นบุคคลที่ใช้มือของเขาวักน้ำเพียงครั้งเดียว ครั้นแล้วพวกเขาก็ดื่มจากมัน ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเหล่านั้น (ที่ไม่ยอมดื่ม) ต่อมา เมื่อเขาและบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอยู่พร้อมกับเขาเดินผ่านลำน้ำนั้น พวกเขาก็กล่าวว่า ในวันนี้เราต่อสู้กับญาลูฏ และไพร่พลของเขาไม่ไหวอย่างแน่นอน บรรดา (ศรัทธาชน) ที่มั่นใจว่าพวกเขาต้องได้พบกับอัลลอฮ์จึงกล่าวว่า มีตั้งเท่าไหร่แล้ว กลุ่มชนที่มีเพียงเล็กน้อย สามารถพิชิตกลุ่มชนที่มากกว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ ย่อมอยู่พร้อมกับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย

 

[2:250]

และเมื่อพวกเขาได้ปรากฏตัว (เพื่อเปิดฉากต่อสู้) กับญาลูฏและไพร่พลของเขา พวกนั้นก็วิงวอนว่า โอ้องค์อภิบาลของเรา ขอได้โปรดหลั่งความอดทนลงให้พวกเราด้วยเถิด โปรดประทานความแน่นแฟ้นแก่เท้าของเราด้วยเถิด และโปรดช่วยเราให้มีชัยชนะแก่ชาวเนรคุณด้วยเถิด

 

[2:251]

ครั้นแล้วพวกเขาก็ปราบพวกนั้น (ได้สำเร็จ) โดยอนุมัติของอัลลอฮ์ และดาวูดได้ฆ่าญาลูฏตาย และอัลลอฮ์ ได้ทรงประทานอำนาจทางอาณาจักรและวิทยญานแก่เขา และพระองค์ทรงสอนเขาบางสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และมาดแม้นไม่เป็นเพราะอัลลอฮ์ทรงป้องกันมนุษย์ไว้แก่กันและกัน แล้วไซร้แน่นอนที่สุดแผ่นดินก็ย่อมซึ่งหายนะ และทว่าอัลลอฮ์ ทรงไว้ซึ่งความโปรดปราน แก่บรรดาชาวโลกทั้งปวง

 

[2:252]

นั้นเป็นโองการแห่งอัลลอฮ์ ซึ่งเราแถลงมันแก่เจ้าโดยสัจจะ และแท้จริงเจ้านั้น เป็นหนึ่งจากบรรดาที่ถูกตั้งเป็นศาสนฑูต

 

PART 3

 

[2:253]

และบรรดาศาสนทูตเหล่านั้น เราได้ให้เกียรติแก่บางคนเหนือกว่าอีกบางคน บางคนจากพวกนั้น เป็นผู้ที่อัลเลาะฮ์ ได้ทรงตรัส (เขาคือนบีมูซา) และอัลเลาะฮ์ ได้ทรงยกย่องบางคนของพวกเขา หลายฐานันดร (คือนบีมุฮำมัด) และเราได้ประทานแก่อีซาบุตรมัรยัม ซึ่ง (บรรดา) หลักฐาน ที่ชัดแจ้ง และเราได้เสริมอำนาจแก่เขา ด้วยวิญญานแห่งความบริสุทธิ์ และมาตร์ว่าอัลเลาะฮ์ ทรงประสงค์ แน่นอนบรรดา (ประชาชาติ) ผู้อยู่ในยุคหลังพวกเขาก็ไม่ต้องรบพุ่งกัน ภายหลังจากบรรดา (หลักฐาน) ที่ชัดแจ้งได้มาสู่พวกเขาแล้ว และแต่ทว่าพวกเข้าได้พิพาทกัน ซึ่งมีบางคนของพวกเขา เป็นผู้ศรัทธา และบางคนของพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธ และมาต์รว่าอัลเลาะฮ์ ทรงประสงค์แล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาก็จะรบพุ่งกัน แต่ทว่าอัลเลาะฮ์ ทรงกระทำไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์

 

[2:254]

บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงใช้จ่ายทรัพย์สินที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า ก่อนที่วันหนึ่งจะมาถึงซึ่งในวันนั้นจะไม่มีการซื้อขายและไม่มีมิตรภาพและไม่มีการไถ่แทน และบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ความจริงแล้วคือผู้ที่ทำความผิด

 

[2:255]

อัลลอฮ์ (ทรงเป็นเจ้า) ซึ่งไม่มีพระเจ้าใดๆ (อีกแล้ว) นอกจากพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นเสมอ ทรงดำรงอยู่ ความง่วงและความหลับไม่ครอบงำพระองค์ พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ใครเล่าที่จะให้การสงเคราะห์ (แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้สักเพียงเล็กน้อยของพระองค์ นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ (จะให้พวกเขารู้) เท่านั้น เก้าอี้ (คืออำนาจปกครอง) ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการพิทักษ์มันทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์ทรงสูงส่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่

 

[2:256]

ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา สิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจำแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้น ผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูต และศรัทธาในอัลลอฮ์ เขาก็ได้รับการสนับสนุนอันมั่นคงไม่มีวันขาด และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้

 

[2:257]

อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พระองค์ทรงนำพวกเขาออกจากความมืด (แห่งความโง่เขลา) สู่ความสว่าง (แห่งศรัทธา) และบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลาย ผู้คุ้มครองพวกเขา คือมารร้าย พวกมันนำเขาออกจากความสว่างสู่ความมืด พวกเขาเป็นชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นเป็นนิรันดรกาล

 

[2:258]

เจ้าไม่รู้หรือ เกี่ยวกับ (ประวัติของกษัตริย์นัมรูจ) ผู้โต้เถียงกับอิบรอฮีมในเรื่องผู้อภิบาลของเขา ซึ่งอัลลอฮ์ได้มอบอำนาจทางอนาจักร (บาบิโลน) แก่เขา เมื่ออิบรอฮีมได้กล่าวว่า พระผู้ทรงอภิบาลของฉัน ทรงประทานชีวิตและทรงประทานความตาย (แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์) เขา (นัมรูจ) กล่าวว่า ฉันเองก็ให้ชีวิตและให้ความตายได้ อิบรอฮีมกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์สามารถนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออกได้ พลัน (นัมรูจ) ผู้เนรคุณก็งงงัน (ตอบไม่ถูก) และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล

 

[2:259]

หรืออุปมาเล่นผู้ที่ผ่านมาเมืองหนึ่ง (คือบัยติลมักดิส เยรูซาลิม ซึ่งถูกทำลายโดย บุคตะนัซซอร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน เมื่อก่อนคริสต์กาลและผู้ที่เดินทางผ่านมาคือศาสดาองค์หนึ่งชื่ออะซีซบุตรของซัคคียาอ์) และมันพังยุบลงมาทั้งหลังคาของมัน เขากล่าวว่า เมื่อใดหนออัลลอฮ์ จึงจะฟื้นฟูเมืองนี้ขึ้นมาอีก หลังจากที่มันได้ตาย (พังทลาย) ไปแล้ว ครั้นแล้วอัลลอฮ์ ก็ทำให้เขาตายไปหนึ่งร้อยปี หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้ให้เขาฟื้นขึ้นมาอีก (เมื่อฟื้นแล้ว) พระองค์ก็ตรัสว่า (ถามเขา) ว่า เจ้าพักอยู่นานเท่าใด เขาทูลตอบว่า ข้าพเจ้าพักอยู่หนึ่งวันหรือครึ่งวัน พระองค์ทรงตรัส (แก่เขา) ว่า ความจริงเจ้าพักอยู่ถึงหนึ่งร้อยปี เจ้าจงมองไปที่อาหารและเครื่องดื่มของเจ้าสิ มันยังไม่เน่าบูดเลย และเจ้าจงมองไปที่ลาของเจ้า (ที่ใช้ขี่มันมา) ซิ (ปรากฏว่าลาของเขา ตายจนกระดูกป่นไปแล้ว) และเพื่อเราจักบันดาลให้ (เรื่องราวเกี่ยวกับ) เจ้าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ และเจ้าจงมองไปที่กองกระดูก (ของลาตัวนั้น) ซิ ว่าเราทำการประกอบมัน (ให้เป็นโครงร่าง) ได้อย่างไรแล้วต่อมาเราก็หุ้มมันด้วยเนื้อ ครั้นเมื่อเหตุการณ์ได้ประจักษ์แจ้งแก่เขาแล้ว เขาก็กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกๆสิ่ง

 

[2:260]

และเมื่อครั้งที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลโปรดเนรมิตให้ข้าพเจ้าได้เห็นเถิดว่า พระองค์ทรงชุบชีวิตแก่ผู้ตายได้อย่างไร พระองค์ทรงดำรัสว่า เจ้าไม่เชื่อหรือเขากล่าวว่า มิใช่ แต่เพื่อจิตใจของข้าพเจ้าจะได้สงบมั่นยิ่งขึ้น พระองค์ทรงดำรัสว่า ดังนั้นเจ้าจงนำนกมาสี่ตัวแล้วเจ้าจงนำมันมารวมกับพวกเจ้า หลังจากนั้น เจ้าก็จงแยกส่วนของพวกมัน (ออกเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปไว้) บนภูเขาทุกลูก หลังจากนั้นเจ้าก็จงเรียกพวกมัน แน่นอนพวกมันก็จะมาหาเจ้าโดยพลัน และเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่งอีกทั้งทรงปรีชายิ่ง

 

[2:261]

การบริจาคของบรรดาผู้ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์ อาจเปรียบได้ดังเมล็ดพืชที่งอกออกมา 7 รวง และแต่ละรวงมี 100 เมล็ด ในทำนองเดียวกัน อัลลอฮ์ทรงทบทวีทาน ของผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้

 

[2:262]

บรรดาผู้บริจาคทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์และไม่ได้ติดตามการบริจาคของพวกเขาด้วยการลำเลิกและเราะรานความรู้สึกของผู้ที่ได้รับนั้น พวกเขาจะได้รับรางวัลจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาจะไม่มีความกลัว และความระทมแต่อย่างใด

 

[2:263]

คำพูดที่ไพเราะและการอดทนนั้น ดีกว่าการทำทานที่ตามมาด้วยการเราะรานหรือดูถูก และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมีอย่างเพียงพอ ผู้ทรงขันติ

 

[2:264]

โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าทำลายการทำทานของพวกเจ้า โดยการลำเลิก และยังความเจ็บปวด ประดุจผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์ของพวกเขาเพื่ออวดมนุษย์ และเขาไม่ศรัทธาในอัลลอฮ์ และวันสุดท้ายเลย แท้จริง อุปมา (คนอย่าง) เขา ก็อุปมัยดังก้อนหินเกลี้ยง ซึ่งมีดินติดอยู่บนมัน ต่อมามีฝนหนักได้กระหน่ำลงมาจนทิ้งมันไว้ในสภาพเกลี้ยงเกลา (ดินที่ติดอยู่แต่เดิมถูกฝนชะไม่มีเหลือ) พวกเขาไม่อาจ (ได้กุศลจากการทำทานนั้น) สักสิ่งเดียว จากที่พวกเขาได้พากเพียรไว้ และอัลลอฮ์ไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่เนรคุณ

 

[2:265]

และข้อเปรียบเทียบของบรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขา เพื่อแสวงหาความพึงพระทัยของอัลลอฮ์ และเพื่อเพิ่มความหนักแน่นแก่ตัวของพวกเขาเอง ก็เปรียบได้ดั่งสวนหนึ่งตั้งอยู่ ณ พื้นที่ราบสูงซึ่งมีฝนหนักกระหน่ำลงมา ต่อจากนั้นก็ให้ผลิตผลของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ถึงแม้นไม่มีฝนหนักกระหน่ำลงมาก็ตาม ก็ยังมีฝนอยู่ประปรายอยู่นั่นเอง และอัลลอฮ์ทรงมองเห็นการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล

 

[2:266]

คนหนึ่งคนใดจากพวกเจ้าทั้งหลายชอบไหมเล่า ที่เขาจะมีสวนหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นอินผาลัม และต้นองุ่น โดยมีธารน้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องใต้ของมัน เขาได้รับในสวนนั้นซึ่งผลไม้ต่างๆ และเขาก็ลุเข้าวัยชรา โดยเขายังมีลูกหลานที่อ่อนวัย ครั้นต่อมา ก็มีลมพายุโหมกระหน่ำสวนนั้น โดยมีไฟในนั้นแล้วมันก็เกิดเพลิงไหม้ (หมดทั้งสวน) เช่นนั้นแหละ อัลลอฮ์ทรงชี้แจงกับบรรดาโองการต่างๆเพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้ใคร่ครวญ

 

[2:267]

โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงบริจาคทรัพย์ที่ดีบางส่วน ที่พวกเจ้าได้พากเพียรไว้ และจากสิ่งที่เรา ได้ให้ผลิออกมาจากแผ่นดินพวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าได้มุ่งเอาสิ่งเลวจากนั้นมาบริจาคทั้งๆที่พวกเจ้าเองก็ไม่ (อยากจะ) รับสิ่งนั้น นอกจากพวกเจ้าจะสะเพร่าใน (การรับ) มัน และจงทราบไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรวยยิ่ง อีกทั้งทรงได้รับการสรรญเสริญ

 

[2:268]

มารร้ายได้เอาความลำบากยากจนมาข่มขู่สูเจ้า และเสี้ยมสอนสูเจ้าให้ตระหนี่ถี่เหนียว แต่อัลลอฮ์ทรงสัญญาแก่สูเจ้าซึ่งการอภัยจากพระองค์และความบริบูรณ์ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้

 

[2:269]

อันมารร้ายนั้น มันจะเอาความจนมาสัญญากับพวกเรา (เพื่อยุยงให้พวกเจ้างดบริจาค) และมันจะใช้พวกเจ้า (ให้กระทำ) แต่สิ่งที่น่าเกลียด (เช่นความตระหนี่) และอัลลอฮ์ทรงสัญญากับพวกเจ้า (ว่าจะประทาน) การอภัยจากพระองค์ และความโปรดปราน และอัลลอฮ์ทรงไพศาล อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

 

[2:270]

และค่าใช้จ่ายใดๆ ที่พวกเจ้าได้จับจ่ายออกไป หรือพวกเจ้าได้บนไว้ในกรณีหนึ่งๆ ที่จริงอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้น (เป็นอันดี) และสำหรับบรรดาผู้อธรรม ย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลืออย่างแน่นอน

 

[2:271]

ถ้าสูเจ้าบริจาคทานอย่างเปิดเผย มันก็เป็นการดี แต่ถ้าสูเจ้าบริจาคทานอย่างลับ ๆ แก่คนขัดสน มันก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า เพราะมันจะลบล้างบาปบางอย่างของสูเจ้า อย่างไรก็ตาม อัลลอฮ์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ

 

[2:272]

หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ ในการชี้นำพวกเขา และหากทว่าอัลลอฮ์ (ต่างหาก) ที่ชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และความดีงาม (ทรัพย์สิน) ใดๆที่พวกเจ้าบริจาค มันย่อมเป็นของพวกตัวเจ้าอย่างแน่นอน และพวกเจ้าจะไม่บริจาค นอกจาก เพื่อแสวงหาความพึงพระทัยจากอัลลอฮ์เท่านั้น และความดีใดที่พวกเจ้าบริจาคนั้น มันจะถูกตอบแทนครบถ้วนแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกฉ้อฉลอย่างแน่นอน

 

[2:273]

เป็นสิทธิสำหรับผู้ถูกจำกัดตัวเองในทางของอัลลอฮ์ พวกเขา ไม่สามารถที่จะจารึกไปในแผ่นดิน ผู้โง่เขลาคิดว่า พวกเขาเป็นคนรวย (ทั้งๆที่พวกเขายากไร้ยิ่ง แต่) เนื่องด้วยความสังวรณ์ตน (พวกเขาไม่ยอมขอใครกิน) เจ้ารู้จักพวกเขาได้ด้วยเครื่องหมายแห่งพวกเขา คือพวกเขาจะไม่พิรี้พิไรขอจากมนุษย์ และการดีอันใด ที่พวกเจ้าบริจาคนั้น อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน

 

[2:274]

บรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาอย่างลับ ๆ และเปิดเผยทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนนั้นจะได้รับรางวัลที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวและระทม

 

[2:275]

บรรดาผู้กินดอกเบี้ย พวกเขาจะไม่ยืนขึ้น (ฟื้นขึ้นจากสุสานในวันชาติหน้าได้อย่าท่าทางปกติ) นอกจาก (พวกเขาจะยืนขึ้นมาในท่าที) ประดุจดังผู้ที่มารร้าย สิงอยู่เนื่องจากความวิกลจริต นั้นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า อันที่จริงการค้าขาย ก็เหมือนกับการดอกเบี้ยนั่นเอง และอัลลอฮ์ ทรงอนุมัติการค้าขาย แต่ทรงห้ามการดอกเบี้ย ดังนั้น ผู้ใดที่รับคำเตือนจากองค์อภิบาลของเขา แล้วเขาก็ยุติ (การรับดอกเบี้ย) แน่นอนสิ่ง (ดอกเบี้ย) ที่ล่วงเลยไปนั่นก็เป็นของเขา (ไม่ต้องย้อนหลัง) และการงานของเขาก็มอบแด่อัลลอฮ์ (สุดแต่พระองค์จะจัดการ) และผู้ใดย้อนกลับ (ไปสู้ธุระกิจดอกเบี้ยอีก) แน่นอนพวกเขาเป็นชาวนรก พวกเขาต้องเข้าอยู่ในนั้นนิรันดร

 

[2:276]

อัลลอฮ์จะทรงบั่นทอนความจำเริญออกจากดอกเบี้ยและจะทรงเพิ่มพูนกุศลทาน และอัลลอฮ์ไม่ทรงรักคนบาปหนาที่เนรคุณทุกคน

 

[2:277]

สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดี และดำรงนมาซและจ่ายซะกาต พวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกเขาที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาจะไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวและระทม

 

[2:278]

บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเกรงกลัวอัลลอฮ์ และจงละทิ้งดอกเบี้ยในส่วนที่สูเจ้ายังอาจจะได้รับ ถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง

 

[2:279]

ดังนั้น หากพวกเจ้าไม่ทำ (ตามคำสั่งนี้) แน่นอนพวกเจ้า ก็จงมั่นใจเถิดว่า จะมีสงคราม (การลงโทษ) จากอัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ (ต่อพวกเจ้า) และหากเจ้าทั้งหลายกลับใจ (ไม่กินดอกเบี้ย) แน่นอนพวกเจ้า ก็ได้แต่ต้นทุนแห่งทรัพย์สินของพวกเจ้า (ที่ให้กู้ไป) พวกเจ้าไม่ฉ้อฉล และไม่ถูกฉ้อฉล

 

[2:280]

ถ้าหากลูกหนี้ของสูเจ้าอยู่ในภาวะคับแค้น ก็จงผ่อนปรนให้แก่เขาจนกว่าสถานการณ์ของเขาจะดีขึ้น แต่ถ้าหากสูเจ้ายกหนี้ให้เป็นทาน มันก็เป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า ถ้าหากสูเจ้ารู้

 

[2:281]

จงระวังตนเอง ให้พ้นจากความทุกข์ยาก แห่งวันที่สูเจ้าจะกลับไปหาอัลลอฮ์ ณ ที่นั้น ทุกชีวิต จะได้รับการตอบแทนเต็มตามที่แต่ละคนได้ขวนขวายไว้ และเขาจะไม่ถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรม

 

[2:282]

โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าทำสัญญากู้หนี้ยืมสินกันในหนี้สินหนึ่ง โดยมีกำหนดที่แน่ชัด พวกเจ้าก็จงทำบันทึกมันไว้ด้วย และจะต้องมีผู้บันทึกทำการบันทึกในระหว่างพวกเจ้า โดยความเที่ยงธรรม และผู้บันทึกจงอย่าปฏิเสธที่จะทำการบันทึก ดังที่อัลลอฮ์ได้สอนเขาไว้ ดังนั้น เขาจงบันทึกโดยให้ลูกหนี้เป็นผู้บอกให้ และเขาจงยำเกรงอัลลอฮ์ผู้ทรงอภิบาลเขา และจงอย่าบกพร่องจากนั้นสักเพียงเล็กน้อยก็ตาม (ในการบันทึกเต็มตามจำนวน ที่ตกลงกู้ยืมกัน) แต่หากปรากฏว่า ผู้เป็นลูกหนี้เป็นคนโฉดเขลา (มีนิสัยฟุ้มเฟ้อประพฤติตนไม่เหมาะสม) หรือเป็นคนอ่อนแอ หรือไม่สามารถที่จะบอก (จำนวนหนี้สินได้) ก็จงให้ผู้ปกครองเขาบอกแทนด้วยความเที่ยงธรรม และพวกเจ้าจงจัดตั้งพยานขึ้นสองคน (โดยเลือก) จากบุคคลที่พวกเจ้าพอใจ จากบรรดาผู้ (มีคุณสมบัติพร้อมที่จะ) เป็นพยานเพื่อวาหากนางหนึ่งจากทั้งสองหลงลืม (ข้อสัญญา) คนหนึ่งจะได้ช่วยเตือนความจำให้แก่อีกคนหนึ่งได้ และบรรดา (ผู้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็น) พยาน จงอย่าปฏิเสธ (ในการเป็นพยาน) เมื่อถูกขอร้องและเจ้าทั้งหลายจงอย่าระอาที่จะทำการบันทึกมันไม่ว่า (หนี้สินนั้น) จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย หรือจำนวนมาก็ตาม จนถึงกำหนดของมัน (การกู้หนี้ที่ทำสัญญาเอกสาร ตามที่กล่าวมา) นั้น ย่อมเป็นที่ยุตติธรรมยิ่ง ณ อัลลอฮ์ย่อมเป็นที่มั่นคงยิ่ง สำหรับการเป็นพยาน และเป็นที่ใกล้เคียงยิ่งต่อการที่พวกเจ้าจะได้ไม่สงสัยซึ่งกันและกัน (ในจำนวนหนี้สิน) ยกเว้น ในกรณีที่เป็นการค้าในปัจจุบัน ซึ่งพวกเจ้าหมุนเวียนระหว่างพวกเจ้าเอง ก็ไม่เป็นบาปแต่ประการใดๆ แก่พวกเจ้า ที่จะไม่บันทึกมัน และเจ้าทั้งหลายจงแต่งตั้งพยานขึ้นเถิด เมื่อพวกเจ้าทำสัญญา (ซื้อขายกัน) และทั้งผู้บันทึกและพยานนั้น จงอย่า (ใช้เล่ห์กลแห่งสัญญา) ทำความเดือนร้อน (แก่ฝ่ายเจ้าหนี้หรือฝ่ายลูกหนี้) และหากพวกเจ้าไม่กระทำ (ตามที่ได้บัญญัติไว้นี้) แน่นอนที่สุด สิ่งนั้นก็จะเป็นความชั่วร้ายแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และอัลลอฮ์ทรงสอนพวกเจ้า และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุกๆสิ่ง

 

[2:283]

และหากพวกเจ้าทั้งหลายอยู่ในระหว่างเดินทาง และพวกเจ้าไม่พบผู้บันทึกคนใดก็ให้ (กู้หนี้แบบ) มีสิ่งล้ำค่าประกันที่ถูกยึดกุมไว้ (โดยเจ้าหนี้) ดังนั้น หากต่างฝ่ายต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน (ทำการกู้ยืนโดยไม่มีสิ่งค้ำประกันและไม่มีสัญญาเอกสาร) อัน ลูกหนี้ผู้ได้รับความไว้วางใจก็ต้องชำระคืนแต่สิ่งที่ถูกไว้ใจ (คืนหนี้สินนั้น) เสีย (เมื่อครบกำหนด) และเขาจงยำเกรงอัลลอฮ์ ผู้ทรงอภิบาลเขา และพวกเจ้าอย่าปิดบังการเป็นพยาน และบุคคลใดปิดบังมัน แน่นอนหัวใจเขาย่อมเป็นบาป และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล

 

[2:284]

เป็นสิทธิแห่งอัลลอฮ์ สรรพสิ่งในชั้นฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดิน และหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเจ้า หรือจะปิดบังมันไว้ก็ตาม อัลลอฮ์ก็จักทรงนำมันมาสอบสวนอย่างแน่นอน และพระองค์ก็ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง

 

[2:285]

ศาสนทูต และมวลผู้ศรัทธา ย่อมศรัทธาในสิ่ง (คัมภีร์) ที่ถูกประทานมายังเขาจากองค์อภิบาลของเขาทุกคนต่างมีศรัทธามั่นในอัลลอฮ์ ในมาลาอีกะห์ของพระองค์ ในบรรดาคำภีร์ของพระองค์ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า เราได้ยิน และเราภักดี ขอพระองค์ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิด โอ้องค์อภิบาลของเรา และเป้าหมาย (ของเรา) ย่อมคืนสู่พระองค์

 

[2:286]

อัลลอฮ์ไม่ทรงวางภาระให้แก่มนุษย์ด้วยความรับผิดชอบที่หนักเกินกว่าที่เขาจะแบกรับได้ ทุกคนจะได้รับผลแห่งความดีที่เขาได้ขวนขวายไว้ และจะได้รับผลตอบแทนแห่งความชั่วที่เขาได้กระทำไว้